โดย Noreen Burke
Investing.com - ภาพรวมของห้าประเด็นหลักที่คุณควรทราบก่อนเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
- การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
ตลาดกำลังจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาซึ่งได้มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 2,000 รายและมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อแล้วถึง 56 รายในจีน นอกจากนี้ยังได้มีการพบการระบาดของเชื้อไวรัสในทั้งสหรัฐฯ, ไทย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส และแคนาดาอีกด้วย
แม้ตลาดหุ้นจะปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ตลาดก็ยังมีความกังวลว่าสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสอาจรุนแรงขึ้นเหมือนเมื่อปี 2003 ที่มีการระบาดของโรคซาร์ส (SARS)
และแม้ว่าทางด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) จะยังไม่ออกมาประกาศสภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระดับโลก แต่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขหลายท่านก็ยังมีความกังวลว่าจีนจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้หรือไม่
- การรายงานผลประกอบการจากกลุ่มหุ้น FAANG
ในวันพุธนี้คาดว่า Facebook จะรายงานผลประกอบการที่เติบโตขึ้น 6.2% ส่วน Apple คาดว่าผลประกอบการจะทะยานขึ้น 8.7% ทว่า Amazon ได้ออกมาเตือนก่อนหน้านี้ว่าการลงทุนในธุรกิจการจัดส่งสินค้าในไตรมาสที่แล้วจะส่งผลเสียต่อผลประกอบการของบริษัท แต่ในวันพฤหัสบดีนี้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะทะยานขึ้น 18.7%
อ้างอิงจากผลคาดการณ์ล่าสุดที่รวบรวมมาโดย Refinitiv คาดว่าผลประกอบการประจำไตรมาสของ S&P 500 จะติดลบ 0.8% และคาดว่ารายได้จะพุ่งขึ้น 4.4%
- การประชุมเฟด
ตลาดมั่นใจมากว่าเฟดจะต้องคง นโยบายทางการเงิน ไว้ดังเดิมในวันพุธนี้อย่างแน่นอน ขณะที่คณะสมาชิกเฟดรอประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลดอัตราดอกเบี้ยสามครั้งเมื่อปี 2019 ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
James Knightley หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ING ชี้ว่า "เนื่องจากไม่มีการเผยผลคาดการณ์ทางเศรษฐกิจล่าสุด ดังนั้นสิ่งที่น่าจับตาคือท่าทีของนายเจอโรม เพาเวลล์ ในการแถลงข่าว และการลงมติซึ่งน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ตลาดต้องการ"
"นอกจากนี้พวกเราคาดหวังว่านายเจอโรม เพาเวลล์ จะยังมีท่าทีที่ระมัดระวังโดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนเริ่มคลี่คลายลงในแง่บวก ฉะนั้นเราคาดว่าเขาน่าจะเน้นย้ำว่าเฟดต้องเล็งเห็น "การเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน" เสียก่อนจึงจะมีการพิจารณาปรับนโยบายทางการเงินอีกครั้ง"
- การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ
ในวันพฤหัสบดีนี้ธนาคารกลางอังกฤษจะ รายงานผลพิจารณาปรับนโยบายทางการเงิน ก่อนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปในวันที่ 31 มกราคม และจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของนายมาร์ค คาร์นีย์ ในฐานะผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ
สิ่งที่น่าสนใจคือธนาคารกลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลกหรือไม่ หลังจากทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออังกฤษต่างก็ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของ Brexit ที่กินเวลามากว่าสามปีครึ่ง อีกทั้งข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดและคำกล่าวของสมาชิกธนาคารกลางอังกฤษรวมทั้งนายคาร์นีย์เองด้วยที่ออกมาในแง่ลบ จึงอาจต้องมีการใช้มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจในขณะที่ตลาดก็คาดหวังมากขึ้นว่าจะต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ย
ทว่าข้อมูลทางเศรษฐกิจอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลับออกมาในแง่บวก จึงทำให้ความหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยลดลงไปบ้างบางส่วน
เงินปอนด์ มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ระดับ $1.31 ซึ่งคงอยู่ในระดับใกล้กันนี้ในปี 2020 ขึ้นอยู่กับว่าผลการตัดสินใจและผลคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของธนาคารอังกฤษที่คาดว่าจะมีการพลิกฟื้นหรือไม่หลังจากการเกิด Brexit
- การประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯ
สหรัฐฯ จะรายงานตัวเลข GDP ประจำไตรมาสที่สี่ในวันพฤหัสบดี โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวขึ้น 2.1% โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจตำหนิเฟดอีกครั้งเนื่องจากหากไม่เป็นเพราะนโยบายทางการเงินของเฟดที่ตึงตัว การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจเข้าใกล้ระดับ 4% ไปแล้วก็เป็นได้
ส่วนทางฝั่งยูโรโซนก็จะรายงานตัวเลข GDP ในวันศุกร์ ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนในไตรมาสล่าสุดจะขยายตัวขึ้น 0.2% อันเป็นไปตามมุมมองของธนาคารกลางยุโรปที่มองว่าเศรษฐกิจ "กำลังเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป"