InfoQuest - บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) แนะ 6 วิธีสังเกตทองแท้ ดังนี้
1. สังเกตที่สีของทองต้องไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะสีคราบตรงรอยต่อ ไม่มีรอยถลอก รอยลอก
2. เลือกซื้อทองคำกับผู้ค้าที่มีความน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ และสังเกตตราประทับสัญลักษณ์ของร้านทองต้องชัดเจน
3. ตรวจสอบน้ำหนักทองคำให้ตรงกับจำนวนที่ซื้อ ขนาดทองคำต้องสัมพันธ์กับราคาทอง รวมถึงต้องขอใบเสร็จรับรองน้ำหนักทองคำจากผู้ขายทุกครั้ง
4. ไม่ซื้อทองคำที่ราคาต่ำกว่าราคาที่สมาคมค้าทองคำประกาศ เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นทองปลอม
5. ทองคำแท้ไม่ดูดแม่เหล็ก เนื้อทองคำจะอ่อน รวมถึงเนื้อทองคำต้องไม่มีสิ่งปลอมปนทำให้ตัวทองคำบิดเบี้ยว
6. ทองคำแท้หากแช่กรดไนตริก จะไม่มีการเกิดปฏิกิริยาใดๆ ไม่เปลี่ยนสี หรือหลอมละลาย
โดยทองคำที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยนั้น มี 2 มาตรฐาน แบ่งเป็น ทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% และทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ซึ่งราคาทองคำทั้ง 2 ประเภทนี้จะแตกต่างกัน ดังนั้นก่อนซื้อจะต้องสอบถามกับทางร้านค้าให้แน่ใจว่าเป็นทองมาตรฐานใด
นอกจากนี้ รูปแบบของการจำหน่ายทองคำกายภาพ ยังมีทั้งที่เป็นทองคำแท่งที่เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ขนาดเล็กเพียง 1 กรัม ที่วายแอลจีจัดจำหน่ายในรูปแบบการ์ดทองคำ จำหน่ายในราคาหลักพัน ไปจนถึงทองคำแท่งน้ำหนัก 1 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณนั้น มีทั้งแบบที่เป็นเครื่องประดับ และแบบที่เป็นทองคำรูปแบบพิเศษ เช่น ปี่เซียะ กิมตุ้ง หรือเหรียญทองคำปีนักษัตรสำหรับสะสม เป็นต้น
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YLG กล่าวว่า ราคาทองคำในตลาดโลก ได้ปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ปรับตัวขึ้นทำ All Time High อีกครั้ง ที่ระดับ 2,640 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ (ณ วันที่ 24 ก.ย. 67 เวลา 12.15 น.) ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% อยู่ที่ระดับ 41,000 บาทต่อบาททองคำ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของราคาทองคำในประเทศนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทุกครั้งที่เงินบาทแข็งค่า 10 สตางค์ จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศลดลง 90 - 120 บาทต่อบาททองคำ แต่ถึงอย่างนั้น ราคาทองในประเทศก็ยังมีทิศทางปรับตัวขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลก ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มดังกล่าว จึงส่งผลให้ปัจจุบันมีกระแสเรื่องทองปลอม ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้น