เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาหลังจากที่สหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงการณ์ยืนยันว่าได้สังหารนายพลคาเซม โซลีมานี ของอีหร่านส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTIปรับตัวขึ้นทันที 3%
หลังจากที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทั้งโลกและโซเชียลมีเดียต่างตกอยู่ในความวิตก สำนักข่าว ABC มีรายงานว่าสถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ “สงครามระหว่างสหรัฐฯ - อิหร่าน” ผู้นำของอิหร่านและผู้นำทหารคนใหม่ที่ขึ้นมาแทนนายพลคาเซมได้ออกมาตอกย้ำความจริงในข่าวนี้ว่าพวกเขาอยากที่จะแก้แค้นสหรัฐฯ จนถึงกับขนาดตั้งค่าหัวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาเลยทีเดียวจึงทำให้ราคาน้ำมันดิบในวันนี้ปรับตัวขึ้นมา 3%
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ปรากฏในกราฟสินค้าโภคภัณฑ์กลับไม่ตรงกับที่ข่าวนำเสนอ กราฟราคาน้ำมันดิบกลับปรับตัววกกลับลงมาหลังจากที่ขึ้นไปได้ 2.65% เกิดอะไรขึ้น? ถ้าสงครามระหว่างสหรัฐฯ - อิหร่านกำลังจะปะทุขึ้นราคาน้ำมันดิบก็ควรที่จะปรับตัวสูงขึ้นถึงจะถูกมิใช่หรือ?
เมื่อวิเคราะห์ทางเทคนิคสิ่งแรกที่จะเห็นเลยคือราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดที่ระดับราคา $66 ก่อนที่จะลงไปสร้างจุดต่ำสุดของราคาไว้ที่ $50 จากสาเหตุที่ปริมาณน้ำมันในโลกมีมากเกินไปและทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจโลกชะลอการเติบโตลง จากนั้นราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวขึ้นเรื่อยมาจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีนที่ดีขึ้นและภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ดูแล้วน่าจะแข็งแรงมากพอ ปัจจัยเชิงบวกนี้ส่งผลให้ปริมาณความต้องการน้ำมันดิบสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างที่เราเห็นกันในภาพประกอบจะเห็นว่ากราฟราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ
จากจุดต่ำสุดของราคาเมื่อเดือนตุลาคมพบว่าตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 24.5% มีเทรดเดอร์มากมายสามารถทำกำไรได้จากราคาน้ำมันในช่วงนี้ก่อนที่ราคาจะเข้าสู่สภาวะพักตัว
แต่ทำไมกราฟราคาน้ำมันดิบจึงต้องปรับฐานด้วยละในเมื่อเรากำลังอยู่ในสภาวะเสี่ยง “เข้าสู่สงคราม” ซึ่งตามหลักแล้วปริมาณความต้องการน้ำมันดิบควรจะเพิ่มขึ้น?
เพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น อะไรก็เกิดขึ้นได้แม้แต่นักลงทุนเองก็ไม่พร้อมที่จะสูญเสียโอกาสของขาขึ้นในตอนนี้ไป ถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าตอนนี้ราคาน้ำมันดิบได้วิ่งขึ้นมาถึงแนวต้านที่ระดับราคาประมาณ $63 เหรียญและยังวิ่งเข้าใกล้จุดสูงสุดที่ราคาเคยทำไว้ด้วยเมื่อเดือนเมษายนที่ $66.60 ซึ่งประเด็นนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนกลัวว่ากราฟจะยังไม่พร้อมที่จะขึ้นต่อ ราคาน้ำมันดิบจึงปรับตัวลดกลับลงมา
ขอหมายเหตุเพิ่มอีกหน่อยว่าที่จุดสูงสุดของราคาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ระดับราคา $63.38 สามารถพิจารณาว่าเป็นแนวต้านได้ เมื่อราคาน้ำมันดิบไม่สามารถเจาะแนวต้านนี้ขึ้นไปได้จึงทำให้นักลงทุนมองว่าระดับราคาตรงนี้ใกล้กับจุดที่ราคาปรับตัวลดลงมา 20% ภายในระยะเวลาเพียงหกสัปดาห์แล้ว (หมายถึงการเปรียบเทียบขาขึ้นปัจจุบันกับขาลงของราคาในช่วงเดือนเมษายนปี 2019)
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากรูปแบบแท่งเทียนแล้วจะพบว่ากราฟกำลังสร้างรูปแบบดาวดาวร่วงหล่น (Shooting Star) และอินดิเคเตอร์อย่าง RSI ก็อยู่ในโซน overbought ยิ่งเปิดโอกาสให้แนวโน้มขาลงมีกำลังมากขึ้นแม้ว่าราคาจะยังสามารถยืนเหนือระดับราคา $60 ได้ไม่มากก็ตาม ในระยะกลางเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดิบจะปรับฐานอีกด้วยจนกว่ากราฟราคาน้ำมันดิบจะสามารถเจาะแนวต้านที่ $66.60 ขึ้นไปได้
กลยุทธ์ในการเทรด
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าจะเกิดสัญญาณดีดกลับของแนวโน้มขาขึ้นและจะรอให้เกิดแนวรับที่ชัดเจนขึ้นมาก่อนจึงจะตัดสินใจวางคำสั่งซื้อ
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอให้รูปแบบแท่งเทียนสร้าง Shooting Star ให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนจากนั้นจะรอดูการวิ่งกลับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดของราคาอีกครั้งแล้วจึงวางคำสั่งขาย
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งขายหลักจากที่กราฟปิดแท่งทันที
ตัวอย่างการเทรด (สำหรับการวางคำสั่งขาย)
- จุดเข้า:$64
- Stop-Loss:$65
- ความเสี่ยง: $1
- เป้าหมายของราคา: $61
- ผลตอบแทนที่จะได้: $3
- อัตราความเสี่ยงเมื่อเทียบกับผลตอบแทน: 1:3