บริษัทชื่อดังส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างเช่นแอปเปิ้ล (NASDAQ:AAPL) ไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) และแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดบริษัทตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งผลก็คือบริษัทใหญ่ๆ สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ทั้งหมด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียวเมื่อหุ้นของบริษัทอัลฟาเบท (NASDAQ:GOOG) เจ้าของกูเกิ้ลและเฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) ไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ ลดความเชื่อมั่นที่มีในตัวบริษัทลง
แม้นักลงทุนส่วนใหญ่จะสนใจแต่หุ้นบิ๊กเนมแต่ก็ยังมีหุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีอีกที่น่าสนใจ หุ้น 3 ตัวต่อไปนี้คือหุ้นในกลุ่มผู้ให้บริการด้วยซอฟท์แวร์ (SaaS) ที่น่าสนใจและเป็นไปได้ด้วยว่าจะมีอัตราการเติบโตและการทำกำไรที่ดีจากผลิตภัณฑ์และการบริการ
1.Zendesk
เวลาที่รายงานผลประกอบการ: วันที่ 6 กุมภาพันธ์หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
หุ้นบริษัท Zendesk (NYSE:ZEN) เริ่มต้นปี 2020 ได้ดีในฐานะบริษัทผู้ให้บริการจัดการความสัมพันธ์ของลูกค้า ในฐานะนักลงทุนถือว่ากระแสตอบรับของการให้บริการของ Zendesk มีการเติบโตที่ดีเป็นอย่างมากจากผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทอย่าง “Zendesk Support” ที่สามารถติดตาม จัดลำดับความสำคัญและแก้ปัญหาให้กับลูกค้าที่อยู่ในระบบได้และยังมีผลิตภัณฑ์อีกตัวหนึ่งอย่าง “Zendesk Chat” เป็นซอฟท์แวร์ไลฟ์แชทที่สามารถเชื่อมลูกค้าเข้าหาผู้ที่ต้องการติดต่อผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชันและบริการมือถือ
หุ้น Zendesk มีราคาปิดอยู่ที่จุดสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ $89.52 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาและบริษัทมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ $10000 ล้านเหรียญสหรัฐ หากมองที่แนวโน้มขาขึ้นแล้วบริษัทปรับตัวขึ้นมา 17% นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมซึ่งเป็นการขึ้นที่ไม่ได้ราบรื่นนักแต่ก็ยังถือว่าดีกว่าดัชนีแนสแด็กที่ปรับตัวขึ้นมาได้เพียง 5.5% เท่านั้น
นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของ Zendesk จะมีผลงานที่ดีขึ้นซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากปริมาณความต้องการซอฟท์แวร์ประยุกต์ที่สามารถนำมาใช้งานได้ทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการแก้ปัญหาอย่าง “Zendesk Sunshine” และ “Zendesk Suite” ผลกำไรตอบแทนต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะอยู่ที่ $0.10 ผลกำไรที่บริษัทจะได้รับคาดว่าจะเติบโตขึ้น 32% อยู่ที่ $227.58 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ความน่าสนใจในหุ้นของ Zendesk อยู่ที่บริษัทจะสามารถรักษาอัตราการเติบของบริษัทเอาไว้ได้หรือไม่ ในไตรมาสที่ 3 ลูกค้าที่ชำระเงินพื่อใช้บริการของบริษัทมีตัวเลขอยู่ที่ 153.700 รายเพิ่มขึ้น 4,700 รายแบบปีต่อปี
2.Shopify
เวลาที่รายงานผลประกอบการ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
นับตั้งแต่ขึ้นปี 2020 เป็นต้นมาหุ้นของบริษัท Shopify (NYSE:SHOP) สามารถปรับตัวขึ้นมาได้แล้ว 22% หุ้นของบริษัทสัญชาติแคนาดา Shopify ผู้เปิดพื้นที่ให้เจ้าของกิจการสามารถขึ้นมาสร้างร้านออนไลน์บนแพลตฟอร์มของตนเองได้สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันอังคารไว้ที่ $485.46 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมทั้งสิ้น $56,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผลกำไรตอบแทนต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 ของ Shopify คาดว่าจะอยู่ที่ $0.23 ผลกำไรที่บริษัทจะได้รับคาดว่าจะเติบโตขึ้น 40% อยู่ที่ $481.93 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขผลกำไรรวมทั้งหมดที่คาดว่าบริษัท Shopify จะได้รับถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ ตัวเลขการสมัครสมาชิกและระบบแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มในไตรมาสที่ 3 มีอัตราการเติบโตตามลำดับอยู่ที่ 50% และ 37% แบบปีต่อปีซึ่งเป็นผลมาจากความนิยมในตัวบริษัทที่เพิ่มมากขึ้นและการขยายเครือข่ายกิจการไปยังพื้นที่อื่นๆ
นอกจากนี้บริษัทกำลังเร่งพัฒนารายละเอียดเครือข่ายการให้บริการแก่ลูกค้าของตนให้มากที่สุดซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะช่วยให้ผู้อยู่บนแพลตฟอร์มสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) ได้
3.Trade Desk
เวลาที่รายงานผลประกอบการ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด
หุ้นของ Trade Desk (NASDAQ:TTD) บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการทำโฆษณาดิจิทัลซึ่งอนุญาตลูกค้าให้สามารถซื้อและจัดการข้อมูลด้วยตนเองได้ หุ้นบริษัทปรับตัวสูงขึ้น 17% นับตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่ 2020 มาจนถึงราคาในปัจจุบัน หุ้น Trade Desk สามารถเติบโตขึ้นได้จากกระแสการทำโฆษณาดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของโลกยุคดิจิทัล ล่าสุดหุ้นของบริษัทสามารถสร้างจุดสูงสุดไว้ที่ $303.13 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมทั้งสิ้น $13,700 ล้านเหรียญสหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการทั้งหมดในไตรมาสที่ 4 ที่ Trading Desk สามารถทำได้จะเติบโตแบบปีต่อปีอยู่ที่ 33% คิดเป็นมูลค่า $213.42 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วและผลกำไรตอบแทนต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น 7% อยู่ที่ $1.17
นักลงทุนให้ความสนใจว่าบริษัทจะยังสามารถสร้างอัตราการเติบโตจากการเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัทเข้ากับสื่ออื่นๆ อย่างเช่นโทรทัศน์ วิทยุ ออนไลน์ได้หรือไม่ซึ่งในไตรมาส 3 ปีแล้วกำไรในส่วนนี้เติบโตขึ้น 145% และ 160% แบบปีต่อปีตามลำดับ ดังนั้นในไตรมาสที่ 4 ที่กำลังจะถึงนี้นักลงทุนจึงต้องการเห็นอัตราการเติบโตของผลกำไรเมื่อบริษัทต้องการเปิดเส้นทางเข้าสู่วงการสตรีมมิ่ง ยิ่งถ้าบริษัทได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมใหญ่ๆ อย่างเช่นโอลิมปิกในปี 2020 และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้จะยิ่งเพิ่มมูลค่าและความน่าเชื่อถือของบริษัทขึ้นเป็นอย่างมาก