ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานภาพรวมไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อน ใหม่ๆ ถือว่าเป็นช่วงเวลาของการรอคอย เริ่มจากการเลือกตั้ง ปธน.สห รัฐฯ 5 พ.ย.67 ขณะที่ในประเทศรอดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ จากรัฐบาล ซึ่งกระทรวงการคลังจะมีการน าเสนอต่อ นายกรัฐมนตรี 31 ต.ค.67 ส่วนการประชุมเรื่องกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย ระหว่าง คลัง กับ ธปท. คาดว่าจะคงไว้ที่ 1 – 3% แต่ขอให้ขับเคลื่อนตัวเลจริงให้เข้าใกล้ 2% อย่างไรก็ตามในส่วนของทิศทางดอกเบี้ย ธปท. ก็ส่งสัญญาณว่าจะคงที่ 2.25% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ในเชิงของมูลค่าการซื้อขายพบว่านักลงทุน ต่างชาติกลับมาขายสุทธิต่อเนื่อง ขณะที่ แรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันมี ทิศทางที่แผ่วเบาลง สภาวะดังกล่าว น่าจะท าให้SET INDEX ไม่สามารถ ปรับตัวขึ้นไปต่อได้ คาดผันผวนในทิศทางลง SET INDEX ยังอยู่ในภาวะที่ขาดแรงขับเคลื่อนทั้งในเชิงปัจจัยพื้นฐาน และ ปริมาณการซื้อขาย วันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว 1445 –1460 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก BEM , CBG และTASCO
WAIT & SEE ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ-การฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ความต้องการแรงงานในสหรัฐฯ ลดลงชัดเจน (LABOR DEMAND ) หลังการ เปิดรับสมัครงาน (JOLTS) ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดเดือน ก.ย. อยู่ที่ 7.4 ล้านต าแหน่ง ซึ่งต่ าสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 64 อีกทั้งอัตราการเลิกจ้างและปลด พนักงานในเดือน ก.ย. พุ่งขึ้น 1.2% หากอัตราการลาออกช้าลงในระยะข้างหน้า (LABOR SUPPLLY ) คาดแรงกดดัน จากค่าจ้างจะมีแนวโน้มลดลง ท าให้ปัญหาเงินเฟ้อคลี่คลาย และหนุนให้FED เดินหน้า ปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ขณะที่ผลการส ารวจของ FED WATCH TOOL ให้น้ าหนัก เกือบ 100% คาด FED จะลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 4.75% ในการประชุมรอบ 7 พ.ย. 67 อย่างไรก็ตาม หลังทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ในวันที่ 5 พ.ย. 67 ยังต้องติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเดินหน้านโยบายของ ปธน. คนใหม่ อาจมีผลต่อทีทิศทางดอกเบี้ย สหรัฐฯ ในอนาคตได้
อีกประเด็นหนึ่งในความคืบหน้าของการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ยังมีความหวังว่าจะมี นโยบายกระตุ้นออกมาเพิ่มเติม โดยวานนี้แหล่งข่าวจาก REUTERS เผยจีนเตรียม ออกพันธบัตร มูลค่า 10 ล้านล้านหยวน (คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของ GDP จีน) กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยคาดว่าจะเสนอ PACKAGE นี้ ในที่ประชุม NPC เพื่อ พิจารณาวันที่ 4-8 พ.ย. 67เบื้องต้นมีรายละเอียดดังนี้
4 ล้านล้านหยวน = ฟื้นฟูภาคอสังหาฯ ผ่านการซื้อบ้านและที่ดิน โดยจะ กระจายการใช้จ่ายเป็นเวลา 5 ปี (8แสนล้านหยวน/ปี)
6 ล้านล้านหยวน = ช่วยรัฐบาลท้องถิ่น จัดการกับความเสี่ยงด้านหนี้นอกงบ ดุล (REFINANCE) โดยจะระดมทุนในช่วงระยะเวลา3 ปี
และในวันพรุ่งนี้ (31 ต.ค.) รอติดตาม PMI ภาคการผลิตจีน ตลาดคาดมีโอกาสพลิก กลับมาที่ 50 จุด (สูงสุดในรอบ 5 เดือน) แม้จะมี GOLDEN WEEK ในเดือนนี้ หลังเริ่ม กระตุ้นเศรษฐกิจปลายเดือน ก.ย. ทั้งนี้หากเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณฟื้นตัวได้จริง มองเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้น กลุ่ม CHINA PLAY อาทิ PTTGC, SCC, ERW, CENTEL, SCGP, PTTEP, AOT (BK:AOT), IVL
ดอกเบี้ยไทย มีโอกาสปรับลดมากกว่านี้หรือไม่ ? แล้ว TARGET SET ควรอยู่ระดับไหน หลังจากที่ กนง.ปรับลดดอกเบี้ยเมื่อ 16 ก.ย.67 ลงจาก 2.50% เป็น 2.25% ซึ่งมุมมอง หลังจากนี้มี 3 ปัจจัยหลักที่ กนง. น ามาพิจาณาปรับลดดอกเบี้ย ได้แก่ เศรษฐกิจ เงิน เฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่ง กนง.ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยที่มีทิศทางดีขึ้น ค่อนข้างสอดรับกับความคาดหมายของรัฐบาล ที่พยายามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง ที่เหลือของปี ผ่านนโยบายต่างๆ อาทิ โครงการแจกเงิน 10,000 บาท, แผนฟื้นฟูภาค ท่องเที่ยว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังคาดหมายให้ กนง.ลดดอกเบี้ยในปีหน้า เพื่อกระตุ้นให้ เกิดการลงทุนเพิ่ม และผลักดันอัตราเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่2% ตามเป้าหมาย ที่ กนง.ได้ตั้งไว้ และหวังผลักให้GDP GROWTH เติบโตตามเป้าหมายที่ 2.7% ในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า
ขณะที่ในมุมของ BLOOMBERG ได้ คาดการณ์ GDP GROWTH ใน 3Q67 +2.7%YOY, 4Q67 +3.6%YOY โดยตลอดปี 2567 BLOOMBERG คาดการณ์ GDP GROWTH อยู่ที่ +2.5%YOY และมองว่าดอกเบี้ยไทยจะคงที่ระดับเดิม 2.25% ตลอดทั้งปี 2568 ก่อนที่จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วง 1Q69
ดังนั้นหากอ้างอิงจากสมมุติฐานของ BLOOMBERG ที่คงดอกเบี้ยไว้ 2.25% ตลอด ปี 2568 โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน ESP68F 98.8 บาทต่อหุ้น และอิง MEYG ที่ 3.8% จะ ได้ดัชนีเป้าหมายที่ 1633 จุด ถือว่ามี UPSIDE อยู่มากจากดัชนีปัจจุบัน
ัจจัยแวดล้อม กดดัน SET อยู่ในช่วงพักตัว หลังจาก SET INDEX ขยับขึ้นไปบริเวณใกล้เป้าหมายดัชนีปี 2567 ที่ 1510 จุด ขณะที่ ปัจจัยแวดล้อมเดือน พ.ย.67 ดูเหมือนอาจพักตัว ด้วย 3 ปัจจัยกดดันดังนี้
1. มูลค่าซื้อขายเบาลง โดย ณ 29 ต.ค. มูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นไทยเหลือ เพียง 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน เนื่องจากนักลงทุนรอดูผลการเลือกตั้ง สหรัฐฯ เพราะปกติหุ้นมักจะย่อตัวในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนและหลังเลือก สหรัฐ แล้วค่อยฟื้นตัวหลังเลือกตั้ง 1 สัปดาห์
2. แรงซื้อจากสถาบันฯ ที่คอยพยุงตลาดเริ่มเบาลง และต่างชาติยังมีโอกาส ขายหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยการซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันฯ ต่อวันลดลง ปัจจุบันเป็นการสลับมาขายสุทธิ จากเคยซื้อสุทธิต่อวัน 3 – 4 พันล้าน บาท ขณะเดียวกันต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องเกือบทุกวันในเดือน ต.ค. หลังกระแสทรัมป์มีโอกาสชนะการเลือกตั้ง วันที่ 5 พ.ย. สูงขึ้นเรื่อยๆ
3. เบื้องต้นประเมินแนวโน้มก าไร 3Q67 ประมาณ 2.2 –2.3 แสนล้านบาท มี โอกาสชะลอลง -11%QOQ และ -14%YOY เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ กดดันตลาดในช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ย.
ทั้ง 3 ปัจจัยกดดันให้ SET INDEX อาจขยับขึ้นได้ยาก ภายใต้การขาดเม็ดเงินใหม่หนุน กลยุทธ์แนะน าหุ้นแนะน า SELECTIVE BUY หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
1. หุ้นอิงเศรษฐกิจจีน คือ PTTGC, SCC, ERW, CENTEL, SCGP, PTTEP, AOT, IVL
2. หุ้น DOMESTIC ก าไรงวด 3Q67 ดี คือ PLANB, CK, CPALL (BK:CPALL), BEM, MTC
มุมมองต่อทิศทางก าไรกลุ่มค้าปลีก
ฝ่ายวิจัยคาดว่าก าไรในงวด 3Q67 ของหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่ฝ่ายวิจัยศึกษาคือ ADVICE, BJC, COM7, CRC, CPALL, CPAXT, HMPRO และ DOHOME จะชะลอ ลง QOQ ทุกบริษัทจากผลของฤดูกาล แต่ส่วนใหญ่จะยังมีก าไรโตได้ YOY ยกเว้น DOHOME และ HMPRO ที่คาดจะมีก าไรลดลงทั้ง QOQ และ YOY โดยหาก เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า คาดว่า DOHOME จะมีก าไรที่ชะลอตัวลงแรงสุด (- 60% QOQ) เพราะถูกฉุดจากยอดขาย และอัตราก าไรขั้นต้นที่ตกต่ าลง และหากเทียบ กับงวด 3Q66 คาดว่า CPALL จะมีก าไรที่โตเด่นสุด (+24% YOY) เพราะได้แรงหนุน จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SAME STORE SALES GROWTH- SSSG) และยอดขายจากสาขาใหม่ที่คาดจะมีการเปิดเพิ่มขึ้นราว 500 แห่ง ในช่วง 9M67 บวก กับอัตราก าไรขั้นต้นมีแนวโน้มดีขึ้น ตามสัดส่วนการขายที่เพิ่มขึ้นของสินค้าสร้างมาร์จิ้ นสูง เช่น อาหารพร้อมทาน เรายังคงให้น้ าหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีก “มากกว่าตลาด” จากภาพรวมก าไร สุทธิของปี 2567 ที่คาดจะโตได้ราว 15% YOY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดที่คาดจะ โตราว 13% YOY แม้ระยะสั้นก าไรโดยรวมของกลุ่มใน 3Q67 น่าจะชะลอลง QOQ แต่จะ ยังโตได้ดี YOY โดยก าไรกลุ่มน่าจะกลับมาโตดีอีกครั้งใน 4Q67 ที่เป็น HIGH SEASON ของธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง เราเลือก CPALL เป็นหุ้น TOP PICKS เพราะ นอกจากคาดจะเป็นหุ้นที่มีก าไรใน 3Q67 แกร่ง จาก SSSG ที่โตเด่นกว่ากลุ่มแล้ว ยังได้ ประโยชน์จาก “กระเป๋าเงิน ดิจิทัล” ที่จะเริ่มใช้ปลาย ก.ย. 67 นี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities