เริ่มต้นงาน THAILAND FOCUS 2024 ภาพการนำเสนอข้อมูลออกมาดู ดี กล่าวคือเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องปี 2567 โต 2.6% และปีหน้าอยู่ที่ 3% แนวการเดินนโยบายการเงินยังเป็นไปอย่างระมัดระวังโดยเก็บ BUFFER ไว้รองรับแรงสั่นสะเทือนของเศรษฐกิจโลก ขณะที่นโยบายในการกำกับ ดูแลก็มีมาตรการที่ออกมาลดความผันผวน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักลงทุน ส่วนปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานอี่นๆ เห็นสัญญาณบวกของ FUND FLOW มากขึ้น โดยแรงหนุนหลักมาจากเงิน USD ที่อ่อนค่า ผลักดันให้เงินบาทแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ อีกทั้ง VALUATION ของ ตลาดหุ้นบ้านเราก็น่าสนใจ ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติที่ UNDER WEIGHT ตลาดหุ้นไทยมาอย่างยาวนาน ก็มีโอกาสกลับเข้ามา ส่วนนโยบายกระตุ้น เศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ เชื่อว่าจะเห็นผลชัดเจนตั้งแต่ เดือน ก.ย.67 ภาพใหญ่ของ SET INDEX ประเมินว่าอยู่ในขาขึ้น เพียงแต่ในระยะสั้นเกิด ภาวะ OVERBOUGHT อาจเกิดการพักฐานบ้าง วันนี้คาดกรอบ 1356 – 1373 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก BH, CPALL (BK:CPALL) และ ITC
BOJ ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อ หนุนเงินบาทแข็งในเชิงกลไก วานนี้รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า BOJ มีความพร้อมที่จะปรับ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก หากเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการ คาดการณ์ (ซึ่งล่าสุดเงินเฟ้ออยู่ระดับ 2.8%YOY) อย่างไรก็ตามท่านย้ำว่าตลาด การเงินของญี่ปุ่นยังคงไร้เสถียรภาพ หลังจากการซื้อขายในตลาดหุ้นและตลาดตรา สารเงินของญี่ปุ่นมีความผันผวนอย่างมากในช่วงต้นเดือนนี้ โดย BOJ จะยังคง ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดด้วย “ความระมัดระวังอย่างที่สุด” ซึ่งประเด็น ดังกล่าวมีโอกาสหนุนให้ค่าเงินเยนกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง โดยล่าสุดอยู่ระดับ 144 เยน/ เหรียญฯ
ซึ่งการที่เงินเยนแข็งค่า มักหนุนให้ DOLLAR INDEX อ่อนค่าตามกลไล จากที่ องค์ประกอบของ DOLLAR INDEX มีสัดส่วนค่าเงินเยนสูงเป็นอันดับ 2 ที่ 14%
อีก 1 ประเด็นที่หนุนให้ DOLLAR INDEX อ่อนค่า คือ การเริ่มเห็นทิศทางดอกเบี้ยของ สหรัฐฯเป็นขาลงชัดเจนขึ้น โดยตลาดประเมินว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยปีนี้ 3 ครั้ง โดย ผลการสำรวจของ FED WATCH TOOL ให้น้ำหนักราว 62% ที่คาดว่าจะปรับลด ดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 5.25% และทยอยปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ย.67 และ ธ.ค.67 รวมอีก 0.75% จนคาด ณ สิ้นปีดอกเบี้ยจะอยู่ระดับ 4.50%
สรุป ด้วย 2 ประเด็นข้างต้น หนุนให้ DOLLAR INDEX ควรอ่อนค่าตามกลไก ซึ่งจะทำ ให้ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น และหนุนให้ FLOW ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ใน ระยะถัดไป โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ไว้ที่ระดับ 1356-1373 จุด
รอรัฐบาลใหม่สานต่อนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจไทยในช่วงผ่านมาเผชิญกับหลายปัญหาที่เข้ามารุมเรา ทำให้เติบโตต่ำและ ฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า อย่างไรก็ตาม 2H67 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดย ในงาน THAILAND FOCUS 2024 วานนี้รักษาการ รมช.คลัง เผยว่ามีหลากหลาย นโยบายที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินต่อไปข้างหน้า และรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาผลักดัน อาทิ
• การจัดตั้งกองทุน THAI ESG
• การจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์
• โครงการ DIGITAL WALLET คาดว่าจะแจกรอบแรกภายในเดือน ก.ย. 67 ส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อดึงลงทุนใหม่สร้างการเติบโตในอนาคต
• ระบบค้ำประกันรูปแบบใหม่ ที่กำลังเตรียมเสนอ ครม. ใหม่
• การเป็นศูนย์กลางทางเงินภูมิภาค ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงาน แก้ไขร่างกฎหมาย
• โครงการ ENTERTAINMENT COMPLEX ซึ่งอยู่ระหว่างการรับผังความเห็น จัดทำร่าง พ.ร.บ.
สำหรับกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ อาทิ CPALL CPAXT BJC BDMS PTT (BK:PTT) KBANK (BK:KBANK) KTB เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังเผยว่าได้เตรียมเสนอ ครม.ใหม่ พิจารณา 14 เมกะ โปรเจ็กต์ วงเงินรวม 7.98 แสนล้านบาท อาทิ
• โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก)
• โครงการมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์สายรังสิต-บางปะอิน
• โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วง รังสิต – มธ. ศูนย์รังสิต
• โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา
• โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2
• โครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย –จีน ระยะที่ 2 ฯลฯ
ขณะที่งบประมาณรายจ่ายลงทุนของกระทรวงคมนาคม ล่าสุดมีสัดส่วนเบิกจ่ายเพียง แค่ 50.4% ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนมาก (81.2%) ทำให้ช่วงเวลาอีก 1 เดือนเศษก่อนที่งบฯ ปี 2567 จะสิ้นสุด (30 ก.ย. 2567) น่าจะเห็นการเร่งอัดฉัดเม็ดเงิน และหนุนให้การลงทุนภาครัฐฟื้นตัว มองเป็น SENTIMENT ต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา ก่อสร้าง CK STEC SCC SCCC เป็นต้น
สรุป เศรษฐกิจไทยในช่วง 2H67 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ขยายตัวต่อเนื่อง มีหลากหลาย นโยบายที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินต่อไปข้างหน้า และรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาผลักดัน อีกทั้งการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ น่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออีกแค่เดือนเศษ ก่อนที่งบฯ ปี 2567 จะสิ้นสุด
ค้นหาหุ้นที่ต่างชาติซื้อสะสมในช่วงนี้
ครึ่งหลังเดือน ส.ค. หลังจากได้นายกคนที่ 31 มาแล้ว FUND FLOW มีการไหลเข้า ตลาดหุ้นไทยอย่างหนาแน่น โดยเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกวันทำการสูงถึง 1.82 หมื่น ล้านบาท (หัก BIGLOT SCCC ออก) แบ่งเป็นการซื้อทางตรง 9.96 พันล้านบาท และ ซื้อผ่าน NVDR อีก 8.19 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังซื้อสุทธิ SET50 FUTURES สูง ถึง 1.37 แสนสัญญา
หนุนให้ FUND FLOW ในช่วง 2H67 กลับมาไหลเข้าตลาดการเงินไทยเด่น เมื่อเทียบ กับช่วง 1H67 ที่ไหลออกมาก โดยช่วง 2H67 ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้น ทั้งทางตรงและผ่าน NVDR รวมสูงถึง 2.5 หมื่นล้านบาท (ช่วง1H67 ขายสุทธิ 1.0 แสนล้านบาท) ซื้อตรา สารหนี้ไทย 4.7 หมื่นล้านบาท (ช่วง1H67 ขายสุทธิ 2.9 แสนล้านบาท) และยังซื้อ สัญญา SET50 FUTURES สูงถึง 2.66 แสนสัญญา และมีโอกาสที่จะไหลเข้าตลาดหุ้น ไทยต่อ
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการคัดกรองหาหุ้นที่ต่างชาติซื้อสะสมทางตรง และผ่าน NVDR ในช่วง 16 –28 ส.ค. 67 (หลังจากได้นายกคนที่ 31) ได้ผลลัพธ์ คือ KBANK ถูกซื้อ สุทธิมากสุด 5.7 พันล้านบาท รองลงมาคือ CPALL 2.4 พันล้านบาท, CPF 2.0 พันล้านบาท, GULF 1.5 พันล้านบาท, BBL 960 ล้านบาท, KTB 936 พันล้านบาท และหุ้นอื่นๆ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities