จากตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาสูงกว่าคาดอยู่ที่ 4.1% เป็น ตัวเพิ่มโอกาสที่จะเห็น FED ปรับลดดอกเบี้ย โดย FEDWATCH TOLL แสดงโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบ ก.ย.67 สูงถึง 72% ส่วนบ้าน เราอัตราเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. ออกมาต่ำกว่าคาดที่ 0.62% YOY ขณะที่ เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจครึ่งหลังของปี 2567 ทำให้โอกาส ที่ กนง. จะปรับดอกเบี้ยในปี 2567 แทบจะไม่มี ภาพทิศทางดอกเบี้ย ดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ย สหรัฐฯ-ไทย แคบลง ซึ่ง น่าจะทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD ถือเป็นสัญญาณ กบวกต่อทิศทาง FUND FLOW ที่มีโอกาสไหลกลับเข้ามา ซึ่งเราเริ่มเห็น ปรากฎผ่านการ NET BUY ในตลาดหุ้น และ LONG ใน FUTURE ภายใต้ สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะทำให้SET INDEX มีทิศทางที่ดีขึ้น โอกาสที่จะเห็น FUND FLOW เริ่มไหลกลับเข้ามามีมากขึ้น ซึ่งถือเป็น สัญญาณบวกต่อ SET INDEX วันนี้ประเมินกรอบ 1306 –1320 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก BEM, GULF และ KBANK (BK:KBANK)
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนแอ FED ความหวัง ลด ดอกเบี้ยเร็วขึ้น ศุกร์ที่ผ่านมามีรายงานตัวเลขสำคัญของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย.67 อาทิ
• ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงขยายตัว +3.9% ตามคาด ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือน ก่อนที่ 4.1%YOY
• การจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 206,000 ตำแหน่ง ซึ่งปรับตัวลดลง จากเดือนก่อนที่ 218,000 ตำแหน่ง
• อัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้นเป็น 4.1% ทำจุดสูงสุดในรอบ 2 ปี
ภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณอ่อนแอลงต่อเนื่อง ทำให้โอกาสที่จะเห็น FED ปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ มีความหวังเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดผลการสำรวจของ FED WATCH TOOL เผยคาดการณ์ว่า FED จะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุม รอยเดือน ก.ย. 67 นี้ มีน้ำหนักมากขึ้นเป็น 72% (เดิม 66%)
กดดัน BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ย่อตัวลงมา 17 BPS. ในช่วง 1 สัปดาห์ จนล่าสุด อยู่ที่ 4.29% หนุนให้ส่วนต่าง BOND YIELD 10 ปี ไทยสหรัฐแคบลง และบาทแข็งค่า ขึ้น ถือเป็น MOMENTUM ให้ FUND FLOW ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงหุ้นไทย เพิ่มขึ้นได้
ความคาดหวัดจุดเริ่มต้นดอกเบี้ยขาลงสหรัฐฯในช่วง ปลาย 3Q67 นี้ เชื่อว่าจะส่งผล ให้ BOND YIELD มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งระยะถัดไปประเมินว่าจะหนุนให้ ช่องว่างระหว่าง BOND YIELD 10Y ของสหรัฐฯ – ไทย มี GAP ที่แคบลงเรื่อยๆ ทำให้ ปัจจัยที่เคยกดดันให้ FUND FLOW ไหลออกลดลง และน่าจะช่วยให้เงินบาทมีโอกาส ชะลออ่อนและแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงเวลาต่อจากนี้
เงินเฟ้อชะลอตัว ส่งผลเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น กระทรวงพาณิชย์ แถลงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อ เดือนมิ.ย. อยู่ที่ 108.50จุด +0.62%YOY ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +1.54%YOY และ ต่ำ เป็นอันดับ 2 ในอาเซียนจาก 8 ประเทศ ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจาก ผลกระทบจากฐานต่ำ ของค่ากระแสไฟฟ้าในเดือนก่อนหน้าสิ้นสุดลง ประกอบกับราคาสินค้ากลุ่มอาหารสด สูงขึ้นในอัตราชะลอตัว ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (CORE CPI) ในเดือน มิ.ย.อยู่ที่ ระดับ 104.73จุด +0.36%YOY ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +0.39%YOY เช่นกัน ขณะที่เงินเฟ้อใน 3Q67 มีแนวโน้มอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 2Q67 (+0.78%YOY) โดย ทั้งปี 2567 กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% (ค่า กลาง 0.5%) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหาก สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยปรับขึ้น หลัง ตัวเลข CPI ออกมาต่ำคาด โดยล่าสุด อยู่ที่ 1.88% (ดอกเบี้ย 2.5% - เงินเฟ้อ 0.62%) ซึ่งถือว่าเริ่มสูงกว่าหลายประเทศ อาทิ ยุโรป 1.75% , จีน 1.20%, เกาหลีใต้1.10% เป็นต้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าว อาจเป็น สาเหตุที่ทำให้ FUND FLOW ชะลอการไหลออกได้ และหนุนให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ มากขึ้นในอนาคต
ประเด็นดังกล่าว ยิ่งเป็นแรงเสริมให้ ธปท. คงดอกเบี้ยในนี้ไว้ที่ระดับเดิม 2.50% โดย ธปท. แสดงจุดยืนเดิมในเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 2.5% เป็นระดับที่ เหมาะสมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเสถียรภาพการเงินของบ้านเรา อีกทั้งเงิน เฟ้อไทยยังค่อยๆ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ตามการมาของ DIGITAL WALLET ในช่วง 4Q67 ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์และควรทยอยเก็บในช่วงเวลานี้คือ หุ้นกลุ่มอาหาร-ค้า ปลีก/ค้าส่ง อาทิ ITC, TU, CPALL (BK:CPALL), CBG, ICHI, OSP, TFG, BTG,CPAXT, BJC เป็น ต้น
สรุป หลังจากตัวเลข CPI ที่ออกมาชะลอตัว ส่งผลให้ REAL YILED เพิ่มขึ้น ทำให้ ตลาดคาดว่า กนง.อาจยังไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีนี้ โดยมองเป็นระดับที่ เหมาะสมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเสถียรภาพการเงินของบ้านเรา จึงทำให้ ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าระยะถัดไป และลุ้น FLOW ต่างชาติไม่ไหลออกจากบ้านเราไป มากกว่านี้
FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นใน 2H67 ในช่วงปี 2023 ถึงกลางปี 2024 ส่วนต่างของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ สูงกว่าไทย มากขึ้นเรื่อยๆ (ในอดีตไทยสูงกว่าสหรัฐฯ) กดดันให้เม็ดเงินจากหลายส่วนไหลออกจาก ไทย ทั้งจากบัญชีค่าเงินต่างประเทศ FCD ที่เพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนล้านบาท เม็ดเงินไหลเข้า กองทุนต่างประเทศ FIF เพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน
ประเด็นดังกล่าวยังกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามา 13% ส่งผลให้พอร์ตหุ้นและตราสาร หนี้ของต่างชาติขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเยอะ นอกจากจะขาดทุนในหุ้นถึง 22% ทำให้ต่างชาติเร่งขายหุ้นไทยออกมาเยอะถึง 3 แสนล้านบาท และขายตราสารหนี้ ออกมา 2 แสนล้านบาท ในช่วงเวลาดังกล่าว
อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปเห็นโอกาสที่ FUND FLOW จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น ไทยช่วง 2H67 ดังนี้ ระยะสั้น -> เริ่มต้นช่วง 2H67 (1 –5 ก.ค. 67) พอมีกฏ UPTICK RULE เห็นปริมาณ ปริมาณการ SHORT SELL เหลือเฉลี่ย 1,509 ล้านบาทต่อวัน (คิดเป็นสัดส่วนต่อ มูลค่าซื้อขาย12.88%) ลดลงจากเดือนก่อนที่ 6,174 ล้านบาทต่อวัน (คิดเป็นสัดส่วน ต่อมูลค่าซื้อขาย 4.47%) ต่อมาคือ แรงซื้อผ่าน NVDR ที่พุ่งขึ้นมาเป็น 4.8 พันล้าน บาท พลิกจากเดือนก่อนที่ขายสุทธิหนัก -1.5 หมื่นล้านบาท แรงขายทางตรงจาก ต่างชาติก็ลดลงเหลือ -845 ล้านบาท สุดท้ายต่างชาติซื้อสุทธิ SET50 FUTURES 53,946 สัญญา แตกต่างจากเดือนก่อนที่ขายสุทธิ 72,813 สัญญา
ระยะยาว -> ในไตรมาสที่ 3 หลายๆ ประเทศมีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อ โดย FED WATCH TOOL คาดปีนี้ FED ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เหลือ 5% ปีหน้าลด 3ครั้ง เหลือ 4.25% ลดช่วงต่างของดอกเบี้ยไทยและ BOND YIELD ที่ยังทรงๆ ให้เกิดส่วนต่างที่มัน แคบลง หนุนให้ค่าเงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าในระยะกลางถึงยาว หนุน FUND FLOW มีโอกาสไหลกลับมา เพราะ ต่างชาติมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เพิ่มเติม VALUATION ตลาดหุ้นไทยถูกพอดี และแนวโน้มเศรษฐกิจมีโอกาสค่อยๆ ฟื้น ตัวทีละนิด
ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงทำการคัดกรองหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่า และหุ้นที่ถูกซื้อขาย ผ่าน NVDR เยอะสุด 20 อันดับแรก ดังตารางทางด้านล่าง น่าจะเป็นเป้าหมายของ FUND FLOW ในช่วงน
แนะนำหุ้นพื้นฐานที่ต่างชาติซื้อผ่าน NVDR เยอะ และบางตัวยังได้ประโยชน์จากบาทแข็ง ค่า PTTEP, BBL, CPALL, KBANK, GPSC, BGRIM, TOP, CRC, PLANB, BEM
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities