📈 คุณจะเริ่มลงทุนอย่างจริงจังในปี 2025 ไหม? เริ่มต้นก้าวแรกพร้อมรับส่วนลด 50% สำหรับสมาชิก InvestingProรับส่วนลด

VOLUME ยังบางมาก

เผยแพร่ 04/07/2567 10:13
SETI
-

อาการของ SET INDEX ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ 1288.58 จุด ซึ่ง VALUATION ในทางปัจจัยพื้นฐานก็ถือว่าต่ำมากแล้ว แต่ก็ยังเห็นแรงขาย จากนักลงทุนต่างชาติดำเนินไปไม่หยุด โดยวานนี้ขายสุทธิอีก 2.82 พันล้านบาท พร้อมเปิด SHORTใน FUTURE ภาพดังกล่าวสะทัอนความ อ่อนล้าของตลาดหุ้นไทย และนักลงทุนที่อยู่ในภาวะที่ขาดความเชื่อมั่น ส่วนปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้แม้จะเป็นมุมบวกเล็กน้อย จาก ทิศทางดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่น่าจะปรับลดลงในเดือน ก.ย.67 ขณะที่ แนวโน้มกำไรงวด 2Q67 ของบริษัทจดทะเบียนในบ้านเราน่าจะเติบโต YOY อย่างมีนัยสำคัญ น่าจะช่วยประคอง SET INDEX ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งนี้หาก มูลค่าการซื้อขายไม่กลับมา ก็ยากที่ SET INDEX จะเปลี่ยนทิศทาง

มูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ขณะที่ FUND FLOW ไหลออก ทำให้SET INDEX ยังอยู่ในภาวะที่ผันผวน และอ่อนแรง วันนี้คาดกรอบ 1280 – 1296 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BDMS, BEM และ PTTEP

วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงดูชัดเจนขึ้น

วานนี้ในงาน ECB FORUM ประธาน FED ยังไม่กล่าวถึงกำหนดที่แน่นอนในการปรับ ลดดอกบี้ย เนื่องจากยังต้องการหลักฐานมั่นใจเพียงพอที่จะเห็นเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบ เป้าหมายที่ 2% อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างพึงพอใจกับความคืบหน้าของ เงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ เริ่มมีการย่อตัวลงมา 0.67% สู่ระดับ 4.43%

ด้านผลการสำรวจของ FED WATCH TOOL ล่าสุดคาด FED ปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 5.25% ในการประชุมรอบเดือน ก.ย. นี้ โดยให้น้ำหนักมากขึ้นเป็น 63% (เดิมราว 50%) และอาจเห็น FED ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งเหลือ 5.0% ในการประชุมรอบเดือน ธ.ค. 67 ด้วยความน่าจะเป็นราว 44%

ขณะที่ฝั่งยุโรปยังคงเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง โดยเงิน เฟ้อยุโรปเดือน มิ.ย. 67 ขยายตัว +2.5%YOY ตามคาด ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือน ก่อน 2.6%YOY ทำให้ล่าสุดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.75% สำหรับทิศทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป ประธาน ECB เผยว่ายังต้องติดตามข้อมูลทาง เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด หลังเงินเฟ้อยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2%

สรุป ตลาดให้น้ำหนักมาขึ้นว่า FED อาจเริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน ก.ย. 67 ซึ่งวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงดูชัดเจนขึ้นในสหรัฐฯ เชื่อว่าจะเป็น SENTIMENT เชิงบวก หนุนให้เม็ดเงินออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น หวังเศรษฐกิจโตตามทัน วานนี้ครม.สัญจรเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ คือให้มีการปรับปรุง แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณปี2567 ครั้งที่ 2 ซึ่งภายหลังจากมี การปรับปรุงหนี้สาธารณะแล้วระดับ PUBLIC DEBT/GDP จะอยู่ที่ 65.05% (เดิม 61.29%)ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

• แผนก่อหนี้ใหม่ปรับเพิ่มสุทธิ 275,870.08 ล้านบาท (จากเดิม 7.56 แสน ลบ. เป็น 1.03 ล้าน ลบ.)

• แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับเพิ่มสุทธิ 33,420.32 ล้านบาท (จากเดิม 2.01 ล้าน ลบ. เป็น 2.04 ล้าน ลบ.)

• แผนการชำระหนี้ปรับเพิ่มสุทธิ 54,555.17 ล้านบาท (จากเดิม 4.00 แสน ลบ. เป็น 4.54 แสน ลบ.)

โดยการเพิ่มงบประมาณปี 2567 เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของ ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการทำโครงการ DIGITAL WALLET เติมเงิน 10,000 บาท ซึ่ง ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีความสามารถชำระหนี้ได้มากน้อยเพียงใด ในสภาวะ ดอกเบี้ยสูงที่ระดับ 2.50% จึงทำให้ตลาดคาดว่าหนี้สาธารณะมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดหนี้สาธารณะบ้านเรา ณ สิ้น พ.ค.67 อยู่ที่ 11.65 ล้านล้าน บาท ส่วนประมาณการ GDP อยู่ที่ 18.11 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วนหนี้ฯ/GDP 64.29%

อย่างไรก็ตาม สศช.คาดว่าโครงการ DIGITAL WALLET จะช่วงดัน GDP ไทยใน 4Q67 เติบโตได้ราว 0.25% หรือมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบราว 2 แสนล้านบาท ซึ่ง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยภาครัฐ เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้ GDP ไทยขยายตัวตาม ไปด้วย ซึ่งน่าจะช่วยลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในเกณฑ์ของกรอบวินัย การคลังอยู่ และน่าจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนที่ล่าสุดอยู่ระดับ 91.3% ได้ไม่มากก็ น้อย

ขณะที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินสมมุติฐานต่างๆ ได้ว่า รัฐบาลสามารถก่อหนี้เพิ่มได้ราว 1.2 ล้านล้านบาท ภายใต้ GDP เท่าเดิมก็ยังอยู่ในกรอบ 70% หนี้สาธารณะต่อ GDP หรือ จะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้ถึง 1.8 ล้านล้านบาท หาก GDP เติบโตได้ 5% ในปีนี้

ส่วนบรรยากาศทางการเมือง ณ ปัจจุบัน ทางสวนดุสิตมีการเผยแพร่โพลดัชนีการ เมืองไทย ซึ่งประกอบไปด้วยปัญหา 25 ข้อ โดยล่าสุดเดือน มิ.ย.67 ดัชนีดังกล่าว ปรับตัวลดลง MOM ทุกข้อ โดยเฉพาะปัญหาที่ประชาชนส่วนใหญ่กังวล คือ ราคา สินค้าปรับลงจาก 4.41 เหลือ 4.00 ,การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพลปรับลง จาก 4.42 เหลือ 3.97 ,การแก้ปัญหาความยากจนปรับลงจาก 4.32 เหลือ 3.94 ทำ ให้ภาพรวมสุทธิเดือน มิ.ย.67 มีคะแนนรวมอยู่ที่ 4.33 จาก 10 คะแนนเต็ม ซึ่งอาจเป็น ปัจจัยกดดันต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป และกดดันการไหลเข้าของ FLOW ทั้งทางตรงและทางอ้อมสรุป

การก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่ยังมี ความกังวลในเรื่องการเพิ่มภาระผูกพันให้กับประเทศ อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจ ไทยกลับมาเติบโตสูงดังที่หลายสำนักเศรษฐกิจหวังไว้ ก็น่าจะทำความเสี่ยงต่อ เสถียรภาพการคลังลดลงได้

ตลาดถูกปกคลุมด้วยข่าวร้าย แต่ภายในยังเห็นแสงจากกำไร งวด 2Q67 มีโอกาสเติบโตเด่น YOY ตลาดหุ้นไทย ยังขาดความเชื่อมั่นจากประเด็นการเมือง และยังเห็นความผันผวน มากกว่าปกติในหุ้นที่ถูก MARGIN CALL กดดันดัชนีย่อตัวลง แตกต่างจากตลาดหุ้น ต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเดือน มิ.ย. ต่างชาติขายหุ้นไทย 3.48 หมื่น ล้านบาท กดดัน SET -3.3% ขายต่อในเดือน ก.ค. (MTD) 2.48 พันล้านบาท กดดัน SET -1%

แม้ตลาดหุ้นถูกปกคลุมด้วยข่าวร้าย แต่ภายในยังเห็นแสงสว่างเล็กๆ จากกำไรงวด 2Q67 มีโอกาสเติบโตเด่น YOY จากแรงหนุน 3 ส่วน ดังนี้

▪ ฐานกำไรไตรมาส 2 ปีที่แล้วต่ำกว่าปกติ คือ กำไรงวด 2Q66 อยู่ที่ 2.23 แสนล้านเหรียญเท่านั้น ซื่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2564 หรือ หลังจากเกิด COVID เป็นต้นมา เพราะช่วงนั้นมีประเด็นความไม่สงบทาง การเมืองเข้ามาพอด

▪ ค่าเงินบาทช่วงไตรมาสที่ 2 ยังอ่อนค่าต่อ 1.3%QOQ และ 4.2%YOY ซึ่งบริษัทจดทะเบียนหลาย SECTOR อาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เพิ่มเติม อาทิ ENERG, FOOD, HELTH, ETRON, PETRO, TOURISM, AUTO, AGRI เป็นต้น โดย SECTOR ทั้งหมดนี้มีสัดส่วน กำไรและ MARKET CAP เกินกว่า 40% ของทั้งตลาดรวมกัน

▪ ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในไตรมาสที่ 2 และยังยืนระดับสูง ทรงตัว -3.0% QOQ แต่ +14.2% YOY และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เนื่องจากกำลังเข้าสู่ ช่วงฤดูกาลขับขี่ โดยทาง GOLDMAN SACH ประเมิน น้ำมันดิ BRENT จะอยู่ที่ระดับ 86 เหรียญ/บาร์เรล หนุนหุ้น COMMDITY ซึ่งเป็นสัดส่วน หลักของตลาดฯ มีโอกาสกำไรดีขึ้น รวมถึงมี STOCK GAIN เข้ามา หนุนเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ทำการรวบรวมคาดการณ์กำไรงวด 2Q67 จาก BLOOMBERG CONSENSUS ล่าสุดออกมาแล้ว 90 บริษัท คิดเป็น 67% ของ MARKET CAP รวม พบว่า มีโอกาสที่จะเห็นกำไรงวด 2Q67F เติบโต 13.9%YOY และ 3.7%QOQ

และทำการคัดกรองตัวอย่างหุ้นที่กำไรงวด 2Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QOQ และ YOY ได้รายชื่อหุ้น พร้อมกับข้อมูลสัดส่วนการใช้ MARGIN เทียบกับจำนวนหุ้นจดทะเบียน มาประกอบ

แนะนำสะสม หุ้นแนวโน้มกำไรงวด 2Q67 เด่น และมีสัดส่วนการถือครองด้วยบัญชี MARGIN ต่ำ ทำให้ราคาหุ้นผันผวนจากการเกิด MARGIN CALL น้อย อย่าง CKP, MINT, GPSC, GULF, PTTEP, CPAXT, INTUCH, CBG, MTC

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย