การกลับตัวขึ้นมาปิดบวกของ SET INDEX วานนี้ดูแล้วค่อนข้างจะผิด ธรรมชาติ โดยมีแรงซื้อเข้ามาชั่วโมงสุดท้ายราว 2 หมื่นล้านบาท ผลักดัน หุ้น MARKET CAP ใหญ่ ภาวะดังกล่าวสะท้อนถึงภาพตลาดหุ้นที่ยังมี โอกาสผันผวนได้ต่อ อย่างไรก็ตามสัญญาณล่าสุดที่เห็น มีการกล่าวถึง การ FORCE SELL ของ MARGIN มากขึ้น ซึ่งในประเด็นนี้หากมอง ผลกระทบทางตรง ก็เห็นว่าเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้น แต่หากมองไปไกล กว่านั้น ก็มีโอกาสที่จะเห็นเป็น แรงกดดันรอบท้ายๆ (ระเบิดลูกสุดท้าย) เพราะกว่ากว่าจะเดินทางมาถึงจุดที่เกิด FORCE SELL ต้องผ่านช่วงที่ ราคาหุ้นถูกกดดันมาจากหลากหลายปัจจัยมากแล้ว ส่งผลให้ราคาปรับ ลดลงแรงซึ่งจุดหนึ่งของราคาที่ปรับลดลงก็มักจะเริ่มเห็นการเปิด UPSIDE ในทางปัจจัยพื้นฐาน และน่าจะตามด้วย
ประเมินว่า SET INDEX ยังอยู่ในภาวะที่ผันผวนได้ต่อเนื่อง โดยยังไม่เห็นแรง ขับเคลื่อนจากปัจจัยบวกใหม่ๆ คาด SET INDEX อยู่ในกรอบ 1290 – 1312 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BEM, CPALL (BK:CPALL) และ KBANK (BK:KBANK)
งบใช้จ่ายภาครัฐปี 68 เดินหน้า หนุนเม็ดเงินเข้าระบบต่อเนื่อง
ช่วงสัปดาห์นี้ (19-21 มิ.ย. 67) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีพ.ศ. 2568 วาระที่ 1 โดยมีวงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 2.7 ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นรายจ่ายลงทุน 9.08 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน +26.5%YOY) และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลได้ประเมินเศรษฐกิจปี 2568 ขยายตัว 2.8-3.8% อัตราเงินเฟ้อ 1.1-2.1% และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด/จีดีพี 1.6% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง อย่างไรก็ ตามนายกฯ ยังคงมั่นใจว่าโครงการ DIGITAL WALLET จะสร้างพายุหมุนทาง เศรษฐกิจให้กับประเทศ
งบประมาณรายจ่ายภาครัฐปี 2568 ที่ยังคงเดินหน้าตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ คาด อนุมัติประกาศใช้ช่วงในช้วงเดือน ก.ย. 67 ซึ่งจะทำให้เห็นภาพการใช้จ่ายภาครัฐ (G) มี ความต่อเนื่องจากงบฯ ปี 2567 หนุนให้เม็ดเงินหลั่งไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย เฉพาะอย่างยิ่งภาคการบริโภค (C) อาทิ กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ท่องเที่ยว โรงแรม ค้า ปลีก เป็นต้น
มองเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง อาทิ SCC, SCCC, TASCO, STEC, CK เป็นต้น รวมถึงกลุ่มการบริโภคเติบโตต่อเนื่อง อาทิ CPALL, BJC, CBG, AOT (BK:AOT), ERW, CENTEL, HMPRO เป็นต้น
การใช้ MARGIN น่ากลัวจริงหรือไม่ ในภาวะปัจจุบัน ?
วานนี้หุ้นหลายตัวขนาดกลาง-เล็ก ปรับตัวลงแรงใกล้และถึง FLOOR อาทิ NEWS JCKH SDC SABUY NRF SBNEXT AS YGG PK TRC NEX BYD เป็นต้น ซึ่งเกิด ข้อสงสัยว่าหุ้นที่ปรับตัวลงแรงวานนี้ อาจเพราะมี %MARGIN คงค้างทิ่อยู่ระดับสูงเนื่องจากหุ้นหลายตัวที่ปรับตัวลงแรงวานนี้มี %MARGIN คงค้างอยู่ระดับ 20%- 45% อาทิ NRF SBNEXT AS YGG และ NEX เป็นต้น และด้วยสภาวะตลาดฯใน ปัจจุบันที่ขาดสภาพคล่องส่วนเกินมาหนุน จึงทำให้เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงแรงจนแตะ ระดับต้องเรียกหลักประกัน CALL หรือ FORCE SELL จึงทำให้เกิดการ FLOOR ได้ ไม่ยาก และ เกิดภาวะไร้ BID ขึ้นดังเหตุการณ์เมื่อวานนี้ โดยรวมจึงทำให้ตลาดหุ้นไทย มีความผันผวน และขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าว คาดไม่ได้กดดันรุนแรงมากนักเฉกเช่นในอดีต เนื่องจาก มูลค่าซื้อขายผ่านบัญชี MARGIN ทั้งหมด เดือน พ.ค. 67 อยู่ที่ 8.6 หมื่น ล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 71% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2564 ที่อยู่สูงระดับ 2.97 แสนล้านบาท รวมถึงล่าสุดมีปริมาณหุ้นที่ใช้ MARGIN คงค้างสัดส่วนเพียง 1.54% ของ MARKET CAP.แสดงให้เห็นการใช้ MARGIN โดยรวมที่ลดลงกว่าใน อดีตมาก จึงเป็นประเด็นที่นักลงทุนเบาใจลงได้บ้างระดับหนึ่งสรุป แม้ราคาหุ้นบางตัววานนี้จะ FLOOR โดยไร้เหตุผลทางพื้นฐาน และเกิดการ สังเกตว่าอาจมาจากการมี %MARGIN คงค้างมากไป อย่างไรก็ตามมูลค่า MARGIN โดยรวมทั้งตลาดฯในปัจจุบันไม่น่ากังวลเมื่อเทียบกับอดีต โดยมูลค่าซื้อขายผ่าน บัญชี MARGIN ทั้งหมด เดือน พ.ค. 67 อยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 71% เมื่อ เทียบกับค่าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2564 รวมถึงล่าสุดมีปริมาณหุ้นที่ใช้ MARGIN คงค้าง สัดส่วนเพียง 1.54% ของ MARKET CAP. จึงทำให้นักลงทุนเบาใจลงได้บ้าง
ปัจจัยภายนอกปั่นป่วน แต่ก็เห็นสัญญาณ SET INDEX มี โอกาสฟื้นเล็กๆ อยู่
ตลาดหุ้นไทยถูกปัจจัยแวดล้อมกดดันตลอดทั้งเดือนนี้ พร้อมกับต่างชาติขายสุทธิ หุ้นไทย 20 วันทำการติดต่อกัน กว่า 3.9 หมื่นล้านบาท เริ่มจากประเด็นความไม่ แน่นอนการเมืองยืดเยื้อ, กนง. ส่งสัญญาณชัดยังไม่ลดดอกเบี้ย, ความกังวลประเด็น CASH FLOW RISK ในตลาดหุ้นบางบริษัท กดดัน SET INDEX ปรับตัวลงเร็วจนอยู่ ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี
อย่างไรก็ตามในช่วงสั้นเห็นสัญญาณ SET INDEX มีโอกาสฟื้นเล็กๆ ดังนี้
1. แม้ช่วง 2 วันที่ผ่านมา SET INDEX จะผันผวน แต่ความคืบหน้า UPTICK มี ส่วนช่วหนุนดัชนีปิดบวกได้ 2 วันติด โดยเฉพาะวานนี้ปรับตัวลงไปลึก 16 จุด เกือบตลอดทั้งวัน แต่ช่วง 1 ชัวโมงสุดทายก็พลิกกลับขึ้นมาเร็วและบวกได้ 6.41 จุด พร้อมกับมูลค่าซื้อขายที่หนาแนน 2 หมื่นล้านบาทภายในชั่วโมง เดียว หนุน SET INDEX ปิดเหนือ 1300 จุด พร้อมกับมูลค่าซื้อขายที่สูงถึง 6.3 หมื่นล้านบาท
2. ความคืบหน้าประเด็น UPTICK เริ่มหนุนให้สัดส่วนการ SHORT SELL ลดลง โดยวันที่ 17 มิ.ย. ตลาดฯ มีสัดส่วน SHORT SELL สูงถึง 16% ของ มูลค่าซื้อขาย พอวันที่ 18 มิ.ย. มีความคืบหน้าประเด็น UPTICK เริ่มหนุนให้ สัดส่วนการ SHORT SELL ลดลงเหลือ 13.4% ของมูลค่าซื้อขาย และลดลง ต่อเนื่องในวันที่ 19 มิ.ย. SHORT SELL ลดลงเหลือ 12.6% ของมูลค่าซื้อ ขาย ซึ่งต่กว่าค่าเฉลี่ย SHORT SELL ในรอบ 1 เดือนที่ 13.8% แล้ว
3. ตลาดหุ้นไทยตกหนักจน UPSIDE จาก BLOOMBERG CONSENSUS เปิด กว้างเกิน +1SD แล้ว ซึ่งในอดีตมักจัตามมาด้วยการรีบาวน์กลับสั้นๆ ได้ . ปัจจุบัน UPSIDE ของ SET INDEX จาก BLOOMBERG CONSENSUS อยู่ ที่ 23% สูงกว่า +1SD ที่ 2.09% ซึ่งในอดีตจะเห็นได้ว่าระยะถัดไป SET INDEX มีโอกาสรีบาวน์กลับสั้นๆ ได้เสมอ
ประเด็นกดดันตลาดหุ้นยังมี แต่ประเด็นหนุนจากมาตการต่างๆ ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เช่นกัน เช่น UPTICK RULE ที่น่าจะช่วยลดระดับการ SHORT ให้ลดลง ดังนั้นตลาด หุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาลึกมากๆ ก็มีโอกาสฟื้นตัวสั้นๆ ได้เช่นกัน ส่วนหุ้นวันนี้แนะนำ CPALL, BEM, KBANK, CK, BJC, PTTEP, GULF
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities