มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางไม่ถึง 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุน ต่างชาติขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง สะท้อนภาพตลาดที่ขาดความเชื่อมั่น ทำ ให้การฟื้นตัวต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้สถานการณ์การเมืองก็มีส่วนทำให้ ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะดังกล่าว โดยวันนี้ต้องติดตามเรื่อง อัยการจะสั่งฟ้องฯ หรือไม่ฟ้อง อดีตนายกฯ ตามข้อกล่าวหา ม.112 ส่วนในมุมของเศรษฐกิจ หลังจาก สศช. ปรับลดคาดการณ์ GDP GROWTH ก็ตามมาด้วยการ ปรับลดประมาณการของสำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างๆ โดยกรอบการเติบโตปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่บริเวณ 2.3 – 2.6% แต่อย่างไรก็ตามถือว่ายังเห็นทิศ ทางการเติบโตในช่วงเวลาที่เหลือของปี จากนี้ไปคงต้องรอติดตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐบาลจะออกมา ทั้งนี้รวมถึงมาตรการ อสังหาฯ รอบใหม
จากปัจจัยแวดล้อมพื้นฐานที่ยังไม่มีประเด็นขับเคลื่อนใหม่ๆ และ มูลค่าการ ซื้อขายที่เบาบาง ทำให้คาดว่า SET INDEX จะยังผันผวนในกรอบแคบช่วง 1357 –1372 จุด TOP PICK เลือก BCH, MAJOR และ SCC
น้ำมันยังขึ้นไม่หยุด หุ้นพลังงานไทยตัวไหนน่าลงทุน ?(PART 2)
วานนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT/WTI ยังปรับตัวขึ้นต่ออีก 1.3% และ 0.3% ตามลำดับ ปิดที่ระดับ 84.22 เหรียญฯ/บาร์เรล และ 80.28 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากการที่สหรัฐเข้าสู่ฤดูการขับขี่รถยนต์ (DEMAND เพิ่มขึ้น) และอิสราเอลรุกคืบ เข้าสู่ใจกลางเมืองราฟาห์ (SUPPLY หายไป) ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาตัวเลขเศรษฐกิจที่ดี ขึ้นของสหรัฐฯ คือ CPI (ต่ำลง), PMI ภาคการผลิต (สูงขึ้น) และจีน INDUSTION PRODUCTION, RETAIL SALES สูงขึ้น ทำให้ความคาดหวังว่า DEMAND น้ำมันดิบจะทยอยมากขึ้นตามลำดับ
อีกทั้งได้รับผลบวกจากกลุ่ม OPEC+ ที่ในช่วงที่ผ่านมายังยืนยันที่จะปรับลดกำลัง การผลิตน้ำมันอยู่ และล่าสุดตลาดรอดูผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 2 มิ.ย.67 ว่าจะขยายระยะเวลาการปรับลดการผลิตน้ำมัน 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกไปหรือไม่ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการขยายระยะเวลาการปรับลด ออกไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.67 ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามว่าผลลัพธ์จะออกมาดังที่ ตลาดคาดหรือไม่
โดยฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองที่คาดทิศทางราคาน้ำมันจะยังทรงตัวได้ในระดับสูงต่อเนื่อง จากเหตุผลข้างต้น และคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบระยะยาวตั้งแต่ปี 2567 เป็น ต้นไปอยู่ที่ 80 เหรียญฯ/บาร์เรล(ใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน) ขณะที่หากพิจารณาใน เชิงราคา จะเห็นได้ว่า 3 วันทำการที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 4.3% ซึ่งหุ้น ในกลุ่มพลังงาน ที่ LAGGARD น้ำมันดิบ คือ PTT (BK:PTT), OR, IRPC, PTTEP, SUSCO, BCP เป็นต้น ถือเป็นโอกาสสะสมในช่วงที่ SET ผันผวน
สรุป น้ำมันดิบยังขึ้นไม่หยุด ได้รับแรงหนุนทั้งจากฝั่ง DEMAND และ SUPPLY โดย ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงมุมมองที่คาดทิศทางราคาน้ำมันจะยังทรงตัวได้ในระดับสูงต่อเนื่อง ชอบหุ้นที่ LAGGARD น้ำมันดิบ คือ PTTEP, PTT, OR, SUSCO, BCP รวมถึง TOP ที่ช่วงก่อนหน้าลงมาลึก เป็นต้น
รัฐฯ เร่งอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้น หลัง GDP โตต่ำ
ภาวะเศรษฐกิจไทยซบเซาถือเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน ขณะที่ GDP GRWOTH ใน ปี 2567 BLOOMBERG คาดเติบโตแค่ +1.9%YOY ซึ่งขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพและ หลายประเทศในเอเชีย สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้านเรา ในภาคส่วนต่างๆ ให้กับมาฟื้นตัวได้เต็มที่
ขณะที่การประชุม ครม. วานนี้ รัฐบาลมีความเห็ตรงกันว่า จำเป็นจะต้องเร่งฟื้นคือ เศรษฐกิจไทย โดยเริ่มจาก มีมติจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณ รายจ่ายประจำปี 2567 เพิ่มเติม สำหรับใช้ในโครงการ DIGITAL WALLET วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ทำให้มี การปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568 –2571) ฉบับทบทวน ครั้งที่ 2 ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมานำมาซึ่งการเพิ่มงบประมาณขาขาดดุล รวมถึงหนี้ สาธารณะ/GDP เสี่ยงปรับตัวสูง 68.9% ในปี 2570 (ปริ่มเพดาน 70%) นอกจากนี้ยัง มีการปรับลดประมาณการ GDP GROWTH ดังตารางด้านล่าง ทั้งนี้ ภาระผูกพันที่ เพิ่มขึ้น อาจกำลังสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจไทยยังได้รับการแก้ไขในเชิงโครงสร้าง
ต่อมารัฐบาลมีมาตราเร่งสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชนผ่าน 3 ประเด็นดังนี้
1. เร่งเบิกจ่ายงบลงทุน (G)
2. กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน (C)
3. เร่งเดินหน้าภาคการท่องเที่ยงอย่างเต็มที่ ผ่านมาตรการระยะสั้น-กลาง-ยาว
- มาตรการระยะสั้น (เริ่มใช้ มิ.ย.67) : วีซ่าฟรี 93 ประเทศ (เดิม 53 ประเทศ) เดินทางเข้าไทยอยู่ยาว 60 วัน, เพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ DESTINATION THAILAND VISA (DTV) เพื่อให้คนต่างด้าวประสงค์จะ พำนักในประเทศไทย เพื่อทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกัน
- มาตรการระยะกลาง (เริ่มใช้ ก.ย.-ธ.ค.67) : จัดกลุ่มและปรับลดรหัส กำกับการตรวจลงตรา ประเภทคนอยู่ชั่วคราว, ปรับหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขการรับการตรวจลงตรา ประเภทคนอยู่ชั่วคราวพำนักระยะยาว สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ, ขยายการเปิดให้บริการ E-VISA
- มาตรการระยะยาว (เริ่มใช้เต็มรูปแบบ มิ.ย.68) : พัฒนาระบบ ELECTRONIC TRAVEL AUTHORIZATION เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การคัดกรองคนต่างด้าว
ในอีกมุมหนึ่งปลัดกระทรวงการคลัง ยังคาดว่าการลงทุนใหม่ของภาคอสังหาฯ จะ ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปเติบโตได้ดีกว่า 1Q67 ที่ผ่านมา พร้อมปรับ ทบทวนภาษีที่ดินทุก 5 ปี และเล็งออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อีกระลอก คาด ชัดเจนใน 2 สัปดาห์
สรุป ปัญหาเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพและประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนถึงความ จำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้านเราในภาคส่วนต่างๆ ให้กับมาฟื้นตัวได้ เต็มที่ ซึ่งคาดหวังว่านโยบายการปัญหาของภาครัฐฯ ที่ออกมาจะช่วยหนุนให้ GDP ไทยเติบโตต่อเนื่อง
การเมืองร้อนแรงกด FUND FLOW ไหลออกหุ้นไทยมาพักนึง
ในช่วงสัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมาการเมืองร้อนแรงไทยร้อนแรง ทั้งประเด็น 40 สว. ยื่น ศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนายกฯเศรษฐา แต่ตั้ง คุณพิชิต เป็น รัฐมนตรี รวมถึงประเด็น อัยการสูงสุดนัดฟังคำสั่งคดีที่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กระทำผิดตามกฎหมาย อาญา มาตรา 112 กดดัน ให้นักลงทุนต่างชาติลดความเสี่ยง และขายหุ้นไทยต่อเนื่อง 5 วันทำการ ด้วยมูลค่ากว่า -7.7 พันล้านบาท
กดดันให้หุ้นขนาดใหญ่ลงแรง โดยหากวันผลตอบแทนดัชนีต่างๆ ช่วง 20 – 28 พ.ค. 67 พบว่า SET50 ปรับตัวลงมากสุด 1.69% ตามมาด้วย SET -1.45% แต่หุ้นขนาด เล็กย่อตัวน้อยกว่า MAI -0.28% และ SSET -0.2% ในช่วงเวลาดังกล่าว
ส่วนวันนี้ เวลา 09.00 น.อัยการสูงสุดนัดฟังคำสั่งคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร กระทำ ผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 สำหรับแนวทางของคดี มีได้ 3 แนวทาง
▪ สั่งไม่ฟ้อง –> แรงกดดันทางการเมืองลดลง คาดว่า SET ที่ย่อตัวลงมามี โอกาสฟื้นกลับ แนะนำหุ้นใหญ่ลงลึกหวัง FUND FLOW กลับ BGRIM, CPN, GULF, IVL, AOT (BK:AOT), SCC
▪ เลื่อนนัดฟังคำสั่ง -> แรงกดดันการเมืองลดลงช่วงสั้น แต่อาจกลับมากังวล ระยะถัดไป คาด SET ฟื้นได้สั้นๆ แนะนำหุ้นใหญ่ มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว PTTEP, TOP, CENTEL, ERW
▪ สั่งฟ้อง -> กังวลการเมืองร้อนแรงต่อ กดดัน SET ผันผวน แนะนำหลบความ ผันผวนในหุ้นผันผวนต่ำหรือปันผลสูง BEM, BDMS,LH
สรุปหากวันนี้ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง หรือเลื่อนนัดฟังคำสั่ง น่าจะหนุนให้ SET INDEX มีโอกาสฟื้นตัวกลับ 1400 จุดในระยะถัดไปได้ ในทางกลับกันถ้าสั่งฟ้องอาจ กดดันให้ตลาดหุ้นผันผวนในช่วงนี้ แนะค่อยกลับมาทยอยสะสมหุ้นอีกครั้งในบริเวณที่ ต่ำกว่า 1350 จุด เนื่องจากเป็นบริเวณที่ VALUATION น่าสนใจ โดยมี P/E เพียง 14 เท่ากว่าๆ เท่านั้น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities