Oil / CPI / FOMC / BCP
• SET: คาด SET Index เปิดตลาดอาจอ่อนแอกว่าภูมิภาค แม้ทั่วโลกจะมี Sentiment ที่ดีจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่ออกมาเท่ากับที่ตลาดคาด แต่จากการที่ราคาน้ํามันดิบปรับลงแรงเมื่อคืนนี้ อาจทําให้กลุ่ม Oil & Gas ของไทยถ่วงตลาดในวันนี้ได้ เมื่อมาประกอบกับเงินบาทที่ยังคงเดินหน้า ปรับตัวอ่อนค่ามากที่สุดในเอเชียในสัปดาห์นี้ อาจทําให้ดัชนี SET กลับลง ไปทดสอบระดับใกล้เคียงจุดต่ําสุดเดิมที่ 1366 จุดอีกครั้ง จากสถานการณ์ เช่นนี้ ประเมินกลุ่มหุ้น Non-oil โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic demand เช่น
BANK มีโอกาสปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดในวันนี้ได้ ซึ่งในส่วนของกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์นี้ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นที่เราประเมินไว้ว่าจะเป็นเป้าหมาย สําคัญสําหรับเม็ดเงินกองทุน TESG ในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้ จากการที่ หุ้นใหญ่ในกลุ่มนี้ทุกตัวอยู่ในดัชนี SETESG และเป็นหุ้นที่มี Dividend yield สูง
• Oil: ราคาน้ํามันดิบปรับตัวลงแรงเมื่อคืนนี้กว่า 4% โดยถูกกูดดันจากความ วิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ํามันล้นตลาด และอุปสงค์น้ํามันที่ชะลอตัว ลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจต่อความ เป็นเอกฉันท์ของกลุ่ม OPEC+ หลังมีมติปรับลดกําลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรล/วันในไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นไปในลักษณะของ ความสมัครใจ ไม่ใช่การกําหนดโควตาบังคับของประเทศสมาชิก
• CPI & FOMC: สหรัฐฯรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพ.ย.เมื่อคืนนี้ ปรากฏ ออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดไว้อย่างมาก เพิ่มความน่าจะเป็นที่ Fed จะคงดอกเบี้ยในการประชุม FOMC คืนนี้เข้าไปอีก ซึ่งเรายังคงมองเช่นเดิม ว่า ไฮไลท์จากการประชุมจะอยู่ที่คาดการณ์ Dot plots ปี 2024 เป็นสําคัญ หากมีการเปลี่ยนแปลงค่ากลางจากระดับปัจจุบันที่ 5.00-5.25% จะส่งผล ต่อการเคลื่อนไหวต่อ Fed Funds futures, Bond yield, เงิน USD และ Sentiment ในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงได้
• BCP: ในเชิงพื้นฐาน คงคําแนะนํา ซื้อเก็งกําไร และราคาเป้าหมายที่ 46 บาท ประเมินว่ากําไร 4Q23 น่าจะอยู่ราว 2-3 พันล้านบาท ลดลง QoQ จาก GRM ที่เริ่มปรับลดลงจากระดับ USD12/bbl มาอยู่ที่ระดับ USD5-7/bbl ทั้งนี้ เรามีมุมมองเป็นกลางจากการประชุม BCP Investor Forum โดยผู้บริหารยังคงแสดงถึงความมั่นใจใน Synergy ที่จะเกิดขึ้น ระหว่างโรงกลั่นศรีราชาและโรงกลั่นพระโขนงที่ปีละ 3-4 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับธุรกิจ Natural Resources ที่จะมีการเพิ่มกําลังการผลิตมาก ขึ้น จะถือเป็น Driver สําคัญของบริษัทในปี 2024
• อย่างไรก็ดี ในส่วนของกลยุทธ์ ประเมิน Story ของตัวหุ้นเริ่มไม่โดดเด่น หลังผ่านพ้นการควบรวมเสร็จสิ้นไปแล้ว พร้อมทั้ง Earnings momentum ที่ลดลง และ Stock loss ที่น่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4 เมื่อบวกกับราคาที่ แข็งแกร่งกว่าตลาดในช่วงที่ผ่านมา จึงมองว่าสามารถรอให้ราคาหุ้นย่อลง มาก่อนค่อยเข้าชื่อได้
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities