วานนี้มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ 2 รายการเริ่มจากอัตราเงินเฟ้อ เดือน พ.ย.66 ซึ่งออกมา -0.44% YOY ต่ำกว่าคาด ขณะที่มุมมองเงินเฟ้อปี 2567 คาดอยู่ในกรอบ -0.3 - +1.7% YOY สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่เป็น อุปสรรคต่อการเดินนโยบายการเงินผ่อนคลาย โดยเราเชื่อว่าในปี 2567 มี โอกาสที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งตลาดการเงินก็ได้สะท้อน แนวโน้มดังกล่าว โดยการที่ BOND YIELD แทบทุกตัว (เว้นแต่ BONB YIELD 10 ปี) ล่าสุดปรับลดลงมาต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกตัวเลขหนึ่งเป็น ดัชนี ความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือน พ.ย. ออกมาสูงสุดในรอบ 45 เดือน และหาก มองแนวโน้มต่อไปคาดว่าจะเห็นการปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากแรง กระตุ้นของมาตรการภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น EASY E-RECIPT ทิศทางดังกล่าว น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันยังอยู่บนฐานที่ต่ำ
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้น ยังคงมีน้ำหนักในทางบวกต่อ SET INDEX และน่าจะทำหน้าที่เป็นตัวจำกัด DOWNSIDE วันนี้ ประเมินกรอบ 1375 – 1393 จุด หุ้น TOP PICK เลือก GULF, PLANB และ TISCO
เงินเฟ้อไทยต่ำ!! เปิดทางให้ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย
วานนี้กระทรวงพาณิชย์เผยเงินเฟ้อทั่วไปของไทย (CPI) เดือน พ.ย. -0.44%YOY ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และต่ำสุดในรอบ 33 เดือน การหดตัวหลักๆ ต่อเนื่องจาก มาตรการลดค่าครองชีพ รวมถึงราคาพลังงานปรับตัวลดลง บวกกับเนื้อหมู ไก่สด และน้ำมันพืช ราคาต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 11 เดือนแรก +1.33%AOA ส่วน CORE CPI ล่าสุด +0.58 %YOY ต่ำสุดในรอบ 22 เดือน
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าเงินเฟ้อไทยเดือน ธ.ค.66 มีแนวโน้มลดลงจากราคา กลุ่มอาหาร และยังอยู่ในช่วงที่ภาครัฐช่วยลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ บวกกับฐานราคาช่วง เดียวกันของปี 2565 อยู่ในระดับสูง พร้อมกันนี้ยังได้ประเมินเงินเฟ้อไทยปี 67 เฉลี่ยอยู่ ที่ 0.7%YOY (-0.3 ถึง 1.7%)ซึ่งได้รวมแรงกระตุ้นนโยบาย DIGITAL WALLET แล้ว
ทั้งนี้ในปี 2567 ถึงแม้รัฐบาลจะอัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อาทิ DIGITAL WALLET, ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น แต่เงินเฟ้อไทยยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ จึง เชื่อว่าจะช่วยหนุนให้ กนง. ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น และไม่น่าเป็นอุปสรรค ต่อการลดดอกเบี้ยในปีหน้าแล้ว
สำหรับสัญญาณก่อนการปรับลดดอกเบี้ยในอดีต มักจะเห็น BOND YIELD ไทยระยะ สั้น และยาว (อายุ 1-10 ปี) ที่ย่อตัวลงมากว่าดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่สถานการณ์ ปัจจุบัน BOND YIELD ไทยระยะสั้น (1-4 ปี) ได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย แล้ว ส่วน BOND YIELD ไทยระยะยาว (10 ปี) ล่าสุดอยู่ที่ 2.88% ยังอยู่เหนือดอกเบี้ย นโยบายที่ 2.5% ทำให้ผลต่างระหว่าง BOND YIELD 10 ปี – POLICY RATE ของไทย อยู่ที่ 0.38% ซึ่งเข้าใกล้ศูนย์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจเป็นการสะท้อนมุมมองตลาดได้ว่า ดอกเบี้ยบ้านเรามีโอกาสเข้าสู่ภาวะขาลงในอีกไม่ช้านี้
สรุป ความกังวลเรื่องเงินฝืดอาจกดดัน SET INDEX ย่อตัวช่วงสั้นๆ แต่ในระยะถัดไป ยังมีโอกาสฟื้นตัว หาก กนง. และรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการใช้นโยบาย การเงินผ่อนคลายและนโยบายการคลังที่เข้มข้นขึ้น อาทิ DIGITAL WALLET, ปรับขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น รวมถึงเศรษฐกิจไทยปีหน้ายังมีแนวโน้มขยายต่อเนื่องที่ 2.7 - 3.7% ระยะสั้นแนะนำหุ้นที่ได้แรงหนุนจากประเด็นนี้ MTC, TIDLOR, THANI, ASK, AP, SPALI, TISCO, KKP
CCI สูงสุดในรอบ 45 เดือน หุ้นกลุ่ม COMM มีโอกาส OUTPERFORM ระยะถัดไป
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค(CCI) เดือน พ.ย. 66 อยู่ที่ระดับ 60.9 จุด ปรับตัวดีขึ้น จากเดือน ต.ค.66 ที่ระดับ 60.2 จุด และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งถือว่าดัชนีปรับตัวสูงสุดในรอบ 45เดือน นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 63เป็นต้นมา สำหรับ ปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชน โดยเฉพาะ การปรับลดราคาพลังงาน และการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยว, จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้า มามากขึ้นหลังจากเปิดประเทศ, การส่งออกของไทยที่ดีกว่าคาด และความคาดหวัง ของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
หากพิจารณาในเชิงราคา จะเห็นได้ว่าดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ ส.ค.64 – ปัจจุบัน สวนทางกับดัชนี COMM ที่ทยอยปรับตัวลงในช่วงเวลาเดียวกัน (กรอบสีแดง) ซึ่งนับจากอดีต(ในกรอบสีเขียว)ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค มักแปนผันตรงกับ ดัชนี COMM เสมอ
ขณะที่ปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่ม COMM ในระยะถัดไป คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ภาครัฐทั้ง EASY E-RECEIPT และ DIGITAL WALLET คาดช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไทยให้โตเกิน 5%YOY และทำให้ประชาชนมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วง 1H67 ขณะที่ในเชิง VALUATION ถือว่าไม่แพง โดยในมุมของ PE กลุ่มที่อยู่ระดับ 27.16 เท่า ซึ่งถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่อยู่ระดับ 32.45 เท่า และ UPSIDE ของ หุ้นในกลุ่มส่วนใหญ่สูงกว่า 20% ทั้งสิ้น
โดยหุ้นในกลุ่มดังกล่าว ที่ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CPAXT, HMPRO, COM7, CRC, CPALL (BK:CPALL) เป็นต้น
สรุป การปรับตัวขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 45 เดือนของ CCI คาดเป็นตัวเร่งให้ดัชนี COMM ฟื้นตัวเด่นในระยะถัดไป เฉกเช่นข้อมูลที่สอดคล้องกันในอดีต ขณะที่นโยบาย ภาครัฐฯยังคงเน้นไปที่การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ทั้งนโยบาย EASY ERECEIPT และ DIGITAL WALLET คาดเป็นแรงหนุนอีกหนึ่งปัจจัยให้ดัชนี COMM OUTPERFORM กลุ่มอื่นๆ โดยหุ้นในกลุ่มดังกล่าว ที่ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CPAXT, BJC, HMPRO, COM7, CRC, CPALL เป็นต้น
หาหุ้นมี ESG RATING ดี กำไรปีหน้าโตเด่น น่าลงทุน
ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนทั่วโลกยอมรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นไทยได้น้อยกว่าประเทศ อื่นๆ สะท้อนได้จากตลาดหุ้นไทยปีนี้ปรับตัวลงลึกถึง -17.38%YTD (ตลาดหุ้นโลก MSCI ACWI +15%YTD) พร้อมกับ MEYG ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4% กว้างกว่าประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯประเมินว่า SET INDEX อยู่ในระดับที่น่าสนใจในการสะสมแล้ว และความเชื่อมั่นรวมถึงมูลค่าซื้อขายมีโอกาสค่อยๆทยอยกลับมา ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. VALUATION ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ปัจจุบันที่ดัชนี 1378 จุด มี P/E ที่ถูกมากเพียง 13.8 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 18.8 เท่า)
2. ตลาดหุ้นไทยมักจะไม่ลบ 2 ปีติดต่อกัน และปีนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไป - 17%YTD (เป็นปีที่ลดลงมากสุดอันดับที่ 7 จากทั้งหมด 49 ปีที่ผ่านมา) น่าจะ มีโอกาสฟื้นได้ในปีหน้า
3. ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยน่าจะค่อยๆ กลับมา จากความหวังการกระตุ้น เศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อน คลายมากขึ้น หนุนกำไรปี 2567 มีโอกาสเติบโตได้ดีถึง 12.6% โดยมีกลุ่มหุ้น ที่ลงแรงปีนี้ แต่คาดกำไรเติบโตเด่นปีหน้า น่าลงทุน คือ PETRO, MEDIA, CONS, FIN, COMM เป็นต้น
4. ช่วงที่เหลือของปีคาดหวังเม็ดเงินจากกองทุน THAILAND ESG FUND หนุน ตลาด 1 – 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากย้อนไปดูข้อมูลในอดีต พบว่า ดัชนี SETESG ชนะ SET ทุก TIME FRAME ทั้งระยะ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี และ 3 ปี และมีโอกาส OUTPERFORM ต่อเนื่อง จากการที่นักลงทุนตระหนัก และให้ความสำคัญเรื่อง ESG มากขึ้นเรื่อยๆ หนุนให้เม็ดเงินใหม่ทยอยเข้ามา หนุนตลาดหุ้น
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดกรองหาหุ้นที่มี ESG RATING ดี และหุ้นกำไรปีหน้าโต เด่น น่าทยอยสะสมลงทุน คือ PTTGC, CPALL, CRC, IVL, PLANB, BJC, MTC, CK, STEC, TIDLOR
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities