Good sign from short selling data / S&P affirmed Thai BBB+
• SET: คาดวันนี้ SET Index ปรับตัวในเกณฑ์ดีจาก Bond yield และเงินดอลลาร์ สหรัฐฯที่ย่อตัวลงทําจุดต่ําสุดใหม่ ราคาน้ํามันที่ปรับตัวรีบาวด์ และเงินบาทที่แข็ง ค่าขึ้น โดยในรอบวันที่ผ่านมารวมถึงสัปดาห์นี้ บาทปรับตัวแข็งค่ากว่าประเทศอื่น ในเอเชียอย่างชัดเจน สอดคล้องกับ Fund flow ที่มีการไหลเข้าสุทธิทั้ง 3 ตลาด เมื่อวาน คาดกลุ่มหุ้น Bond-liked และ Rate sensitive จะเป็นกลุ่มน่าตลาดในวันนี้ อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM) และกลุ่ม Consumer finance (SAWAD, MTC, TIDLOR) ในเชิงกลยุทธ์ แนะถือครองหุ้นในส่วนเดิมต่อไป โดยเฉพาะกลุ่ม ค้าปลีก ซึ่งเรายังคงให้เป็น Top pick เช่นเดิม แม้ว่าเมื่อวานนี้ที่ประชุมครม.จะยัง ไม่มีการบรรจุวาระโครงการ e-Refund เข้าสู่การพิจารณา
• Short sell diminishing: ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังมีการประชุมร่วมกัน ระหว่างกลต.และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับ ประเด็นธุรกรรม Short selling และ Program trading ยอดการ Short selling ของ ไทยเมื่อวานนี้ลดลงอย่างมีนัยสําคัญมาอยู่เพียง 3.4 พันล้านบาทเท่านั้น ถือเป็น ยอดต่าสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ SET Index ท่าจุดต่ําสุด ของรอบนี้ที่ระดับ 1366 จุด จับตาในช่วงถัดไป หากระดับการ Short selling ยังคงอยู่ต่ํากว่าวันละ 4 พันล้านบาท คาดว่าดัชนี SET มีโอกาสที่จะทยอย ไต่ระดับขึ้นต่อจากนี้ได้
• MPC: สําหรับปัจจัยที่น่าติดตามในวันนี้ ได้แก่ การประชุมกนง. ซึ่งเราคาดว่าจะไม่ โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายแต่อย่างใด 2.5% อย่างไรก็ดี แนะน่าให้ติดตามประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะ ออกมา โดยเฉพาะในฝั่งของการบริโภคและการท่องเที่ยว
• S&P Ratings: สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยวานนี้ว่า บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และ คงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ระดับ (Stable Outlook) โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ 'มีเสถียรภาพ'
1) เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วจาก 2.5% ในปี 2566 เป็น 4.2% ในปี 2567 เนื่องจากการดาเนินมาตรการทางการคลังและการฟื้น ตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่วนในปี 2566-2569 คาด Real GDP ของไทยจะ เติบโตเฉลี่ยปีละ 3.2% ขณะที่สัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP เฉลี่ย คาดว่าจะอยู่ต่ากว่า 4% ในช่วงปี 2567 – 2569
2) หนี้ภาครัฐบาลสุทธิ (Net General Government Debt) อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลตั้งแต่ปี 2567 – 2569 เนื่องจาก การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นสําคัญ
3) ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับอันดับความน่าเชื่อถือในช่วงถัดไป ได้แก่ การเติบโต ทางเศรษฐกิจของประเทศ ระดับรายได้ต่อหัว ความเข้มแข็งทางการคลัง และ เสถียรภาพทางการเมือง
• Our take: มุมมองของ S&P สอดคล้องกับมุมมองของ Fitch Ratings ที่ออกมา ก่อนหน้านี้ ซึ่งมีความเห็นว่าภาระการคลังของไทยในช่วงถัดไปอาจมีการปรับ สูงขึ้นบ้าง ตามการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐต่างๆ แต่ภาระที่สูงขึ้นนี้ จะไม่ได้ขึ้นไปจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพการคลังในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้มาตรวัดที่เป็นอัตราส่วนเทียบกับการเติบโตทาง เศรษฐกิจเช่น GDP ซึ่งจะมีฐานที่สูงขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน สาธารณะของไทยมีอายุเฉลี่ยค่อนข้างยาว และส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท ที่สําคัญ หนี้ จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงทางจากปัจจัยภายนอกและความผันผวนของอัตรา แลกเปลี่ยนไ ซึ่ง
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities