ตัวเลขการส่งออกเดือน ต.ค.66 ของบ้านเราออกมาโต 8% YOY แม้จะต่ำกว่า คาดที่ 9% แต่ก็ถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และเมื่อนำไป ประกอบกับการเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON + มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่กำลัง จะประกาศใช้อย่าง E-REFUND ก็พอจะคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ อย่างชัดเจน ส่วนในมุมของบริษัทจดทะเบียน ก็คาดหวังว่า EPS GROWTH ปี 2567 จะสูงถึง 12.6% ภาพรวมถึงถือว่าองค์ประกอบทางปัจจัยพื้นฐานมีความ พร้อม ส่วน VOLUME การซื้อขายจนถึงปัจจุบันถือว่ายังไม่เพียงพอ โดยยังเห็น การไหลออกของ FLOW จากนักลงทุนต่างชาติ แต่เมื่อมองไปในอนาคตเห็น ทิศทางดอกเบี้ยที่กำลังปรับเป็นขาลง เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น สถานะการถือครองหุ้น ของต่างชาติที่ต่ำกว่าปกติ รวมถึง VALUATION ของตลาดหุ้นไทยที่ถูก ก็เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการค่อยๆ กลับเข้ามาของ FUND FLOW รวมถึงเม็ดเงิน THAILAND ESG FUND
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน ถือว่าพร้อมหนุนราคาหุ้น รอแต่เพียงองค์ประกอบ ทางด้าน FUND FLOWซึ่งก็พอคาดหวังได้ เชื่อ SET INDEX อยู่ในช่วงรอปรับขึ้น วันนี้กรอบ 1385 –1400 จุด TOP PICK เลือก CRC, TISCO และ SIRI
ส่งออกไทย ต.ค. +8% สูงสุดในรอบ 15 เดือน
ส่งออกไทยเดือน ต.ค. ขยายตัว +8% YOY สูงสุดในรอบ 15 เดือน ซึ่งเป็นการขยายตัว สูงสุดในเอเชีย อาทิ สิงคโปร์ (+6.9%), อินเดีย (+6.2%), เวียดนาม (+5.7%) ฯลฯ การ ขยายตัวหลักๆ มาจากสินค้า เกษตร (เช่น ผลไม้สด, ข้าว, ไก่สด) สินค้าอุตสาหกรรม เกษตร (ผักแปรรูป อาหารสุนัข/แมว) และสินค้า อุตสาหกรรม (เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วน) โดยในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ กระทรวงพาณิชย์คาด ส่งออไทยจะขยายตัวต่อเนื่อง
สำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ขยายตัวได้ดีทั้ง MOM และ YOY อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป (PTTEP, TOP) ไก่สดแช่เย็นแช่ แข็ง (CPF, TFG) อาหารสัตว์เลี้ยง (ASIAN, AAI) ฯลฯ
ส่วนการนําเข้าไทยเดือน ต.ค. ขยายตัวเด่น +10.2%YOY หลักๆ เห็นการนําเข้าอาวุธ 33% และสินค้าทุนสูงถึง 21.3% คาดรองรับการผลิตและการบริโภคที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ในอนาคต
สรุป ภาคการค้าระหว่างประเทศของบ้านเราที่ขยายตัวได้ดีใน 2H66 เฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการส่งออก เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุลในระยะถัดไป ซึ่งล้วนเป็นแรงผลักให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น คาดหวัง FUND FLOW ไหลเข้าไทยในไม่ช้านี้
ประชุม ครม. วันนี้ลุ้นมีความคืบหน้า E-REFUND
ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่าในการประชุม ครม. ในวันนี้จะมีการพิจารณาเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนและประชาชน ผ่านโครงการ E-REFUND ที่จะ เปิดให้ผู้เสียภาษีสามารถซื้อสินค้าได้ภายในมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท และนำไป ลดหย่อนภาษีเงินได้ในปี 2568 โดยเบื้องต้นไทม์ไลน์ที่รัฐบาลวางไว้ของช่วงเวลาการใช้ จ่าย คือ ต้นปี 2567
ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่านโยบายดังกล่าวอาจเป็นคลื่นลูกใหม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปี 2567 ให้โตมากกว่าค่าเฉลี่ย CONCENSUS ที่ทำช่วง 3.2 – 3.5% ขณะที่เม็ดเงิน ดำเนินโครงการนี้คาดว่าจะทำให้ทางกรมสรรพากรสูญเสียรายได้ราว 1-2 หมื่นล้าน บาท ขณะที่ประสิทธิภาพของโครงการ E-REFUND คาดว่าจะช่วยเกิดวงเงิน เดินสะพัดในระบบเศรษฐกิจราว 1-2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP น่าจะ อยู่ที่ราว 0.54% - 1.09% ซึ่งมีแนวโน้มสูงกว่าช่วง 2 ปี ผ่านมา เนื่องจากช่วงเวลา ดังกล่าวมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกินอื่นๆ ร่วมด้วย
โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า กลุ่มอุตสาหกรรม ที่จะได้ประโยชน์หากนโยบายดังกล่าว เกิดขึ้นจริง คือ กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW), กลุ่มอุปโภคบริโภค (CPAXT, HMPRO, COM7, CRC, CPALL (BK:CPALL), BJC, CBG, DOHOME, DCC) และกลุ่มคาดหวัง เศรษฐกิจฟื้นตัว(KBANK (BK:KBANK) BBL TISCO TIDLOR MTC SAWAD) เป็นต้น
สรุป ประเด็นนโยบาย E-REFUND คาดรู้ความคืบหน้า หลังการประชุม ครม.วันนี้ คาดเป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตสู่ระดับ 5% ส่วนกลุ่มหุ้นที่ คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มท่องเที่ยว(CENTEL ERW), กลุ่มค้าปลีก(CPAXT HMPRO COM7 CRC CPALL BJC CBG) และกลุ่มคาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัว(KBANK BBL TISCO TIDLOR MTC SAWAD) เป็นต้น
เห็นสัญญาณ FUND FLOWดีขึ้น หวังจะไหลเข้าต่อในระยะถัดไป
หลังมีการรายงานตัวเลขส่งออกไทยเดือน ต.ค. +8YOY ค่าเงินบาทก็พลิกมาแข็งค่า เกิน 1% และเป็นการแข็งค่าที่มากสุดในเอเชีย พร้อมกับ FUND FLOW ที่กลับมาซื้อ สุทธิล็กน้อย 613 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา)
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน FUND FLOW มีโอกาสทยอยไหลกลับเข้ามาจากหลายปัจจัย สนับสนุน ดังนี้
1. ต่างชาติขายหุ้นไทยมากเกินกว่าปกติในปีนี้ 1.86 แสนล้านบาท (YTD) ซึ่งเป็นปีที่ มีการขายสุทธิที่มากสุดเป็นอันดับที่ 4 จากข้อมูลที่ตลาดฯ เปิดเผยทั้งหมด 32 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแรงกดดันมาจากความเชื่อมั่นที่ลดลงจาก กรณีหุ้น MORE STARK, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงกลางปี และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยมา เร็วจาก 1.25% เป็น 2.5% ล้วนกดดันให้ FUND FLOW ไหลออก แต่ระยะถัดไป เชื่อปัจจัยต่างๆ ค่อยๆ ดีขึ้น
2. ตลาดคาดดอกเบี้ยสหรัฐมีโอกาสปรับตัวลงในปีถัดไปจาก 5.5% เหลือ 4.5% ประเด็นดังกล่าวกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และค่าเงินบาทมีโอกาสพลิก กลับมาแข็งค่า หนุน FUND FLOW บางส่วนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เพราะต่างชาติ จะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นด้วย
3. ดอกเบี้ยไทยมีโอกาสลดลงในระยะถัดไป เพราะเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ, GDP ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่ ภาวะดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินดอกเบี้ยที่ลดลงทุกๆ 0.25% หนุนสภาพคล่องตลาดหุ้นไทยทีเบาบางสามารถเพิ่มขึ้นได้ราว 4.8 พันล้านบาท/วัน
ทั้ง 3 ปัจจัยสนับสนุนว่า FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้า และสภาพคล่องมีโอกาส เพิ่มขึ้นในระยะถัดไป ดังนั้น SET INDEX ณ ปัจจุบันที่ 1395 จุด มี PE67F ถูกเพียง 13.9 เท่า น่าจะเป็นจังหวะในการหาหุ้นสะสมเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาว
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities