รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

SET ขาดเงินใหม่หนุน เน้น SELECTIVE 

เผยแพร่ 13/11/2566 10:46

ตลาดหุ้นไทยยังขาดเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุน โดยต่างชาติขายสุทธิมาแล้ว -9.4 พันล้านบาท (MTD) กดดันให้ SET INDEX ขึ้นได้น้อยเพียง 0.6%(MTD) ต่างกับ ตลาดหุ้นสหรัฐ (NASDAQ) +7.4%(MTD) แต่การขยับขึ้นของหุ้นสหรัฐมีโอกาส ชะลอลง หลัง MOODY ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจาก “ AAA STABLE” เป็น “AAA NEGATIVE” พร้อมกับปริมาณ SHORT SELL ในตลาด หุ้นสหรัฐ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 14 สัปดาห์ ส่วนประเด็นในประเทศยังมีปัจจัยสำคัญ หนุนหุ้นบางกลุ่มให้มีโอกาส OUTPERFORM ตลาดได้ เริ่มจากประเด็น DIGITAL WALLET และ E-REFUND มีความคืบหน้าขึ้น และน่าจะเข้ามาช่วยหนุน กำลังซื้อตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นไป บวกต่อหุ้น CPALL (BK:CPALL), CRC, CPAXT, BJC, COM7, CPN, MINT, M, CENTEL ฯลฯ รวมถึงประเด็น กกพ. เคาะ 3 แนวทาง ขึ้นค่าไฟฟ้า งวด ม.ค. - เม.ย. 67 จาก 3.99 บาท/หน่วย เป็น 4.68,4.93, 5.95 บาท/หน่วย บวกต่อหุ้นโรงไฟฟ้า GPSC, BGRIM, GULF ฯลฯ

แม้ตลาดหุ้นจะขาดเม็ดเงินใหม่หนุน แต่ปัจจัยบวกดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยพยุง ตลาดฯ และนักลงทุนเอนเอียงมาเพิ่มน้ำหนักในกลุ่ม DOMESTIC ค้าปลีก, โรงไฟฟ้ามากขึ้น

ส่วนวันนี้ ประเมิน SET INDEX ขยับตัวในกรอบ 1385–1400จุด หุ้น TOP PICK เลือกหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว CBG, TU และ CPALL

ดอกเบี้ยมีโอกาสจบรอบขาขึ้น หนุนเม็ดเงินเข้าสินทรัพย์เสี่ยง

วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัดตัวขึ้นแรง เฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่ม TECH โดย ดัชนี NASDAQ พุ่งขึ้นราว 2% บนความคาดหวังว่า FED จะจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น แล้ว ด้วยแรงหนุนจากสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังลดความร้อนแรงลงเรื่อยๆ ซึ่งในสัปดาห์นี้รอติดตามการรายงานตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐ ดังนี้

• วันที่ 14 พ.ย. 66: เงินเฟ้อสหรัฐเดือน ต.ค. โดย CONSENSUS คาดว่าจะ ชะลอตัวลงสู่ 3.3%YOY ขณะที่เงินเฟ้อเดือน ก.ย. อยู่ที่ 3.7%YOY

• วันที่ 15 พ.ย. 66: RETAIL SALES เดือน ต.ค. โดย CONSENSUS คาดว่า จะหดตัวลง -0.4%MOM ปรับตัวลดลงมากจากเดือนก่อนที่ 0.7%MOM

• วันที่ 15 พ.ย. 66: INDUSTRIAL PRODUCTION เดือน ต.ค. โดย CONSENSUS คาดว่าจะหดตัวลง -0.3%MOM ปรับตัวลดลงมากจาก เดือนก่อนที่ 0.3%MOM

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยแวดล้อมยังต้องระวังความเสี่ยงจากผลกระทบเชิงลบที่ตามมา ของการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยล่าสุด MOODY’S ได้ปรับความน่าเชื่อถือ ของสหรัฐฯ ลดลงจาก “AAA STABLE” เป็น “AAA NEGATIVE” โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากการขาดดุลงบประมาณมากขึ้น รวมถึงดอกเบี้ยที่พุ่งสูงอาจทำให้ ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง บวกกับแบ่งขั้วทางการเมืองสหรัฐที่อาจกระทบ ต่องบประมาณใช้จ่าย ขณะที่ข้อมูลในอดีตเผยตลาดหุ้นที่ผันผวนหนักหลัง MOODY’S หั่น CREDIT RATING สหรัฐฯ ในปี 2011

• เงื่อนไข DIGITAL WALLET : ชาวไทยอายุ16 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาท/เดือน หรือ เงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท กลุ่มเป้าหมายประมาณ 50 ล้านคน โดยให้สิทธิ์ใช้ในระยะ 6 เดือน ครอบคลุมการใช้จ่ายในระดับอำเภอ ตามบัตรประชาชน โดยจะสิ้นสุดโครงการ 2570 และเริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ค. 2567 (ใช้กับสินค้าอุปโภค-บริโภค เท่านั้น)

• เงื่อนไข E-REFUND : ผู้ที่ไม่ได้เข้าโครงการ DIGITAL WALLET รัฐบาล ประเมินกลุ่มเป้าหมายราว 4 ล้านคน สามารถนำค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ ในวงเงิน 50,000 บาท ตั้งแต่ ม.ค. 2567 เป็นต้นไป (ใช้กับสินค้าอุปโภค-บริโภค และ บริการ เท่านั้น)

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

ซึ่งเม็ดเงินรวมทั้ง 2 โครงการประเมินราว 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นโครงการ DIGITAL WALLET 5 แสนล้านบาท ส่วนอีก 1 แสนล้านบาท รัฐจะนำเงินไปใส่ในกองทุน เสริมสร้างการแข่งขันใน 13 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (NEW S-CURVE) รวมถึงคาดหวังวงเงินจากโครงการ E-REFUND ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 1-2 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลเชื่อว่า จะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ GDP GROWTH ปี หน้าโตระดับ 5%YOY

อย่างไรก็ตามประเด็น แหล่งที่มาของเงินยังเป็นสิ่งที่ตลาดกังวล เนื่องจากหากรัฐบาลกู้ หนี้เพิ่มหนี้อีก 5 แสนล้านบาท จะทำให้หนี้สาธารณะ หรือ PUBLIC DEBT/GDP สูงสู่ ระดับ 65% ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 62.14% และการมีหนี้สาธารณะสูงขึ้นอาจมีผลต่อ ความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งมีโอกาสสูงขึ้นที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจาก สถาบันต่างๆ

ขณะที่หากพิจารณาในมุมของหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่ามีอยู่ 5 กลุ่มหลัก ดังนี้

• กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL ERW

• กลุ่มอาหาร MINT M AU

• กลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN

• กลุ่มการเงินและโฆษณา KTC AEONTS

• กลุ่มอุปโภค/บริโภค CPAXT HMPRO ADVANC COM7 CRC CPALL BJC CBG OSP

สรุป เริ่มเห็นมาตรการ DIGITAL WALLET ของรัฐบาลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หนุนเศรษฐกิจ ไทยเติบโตแรงในปี 2567(รัฐบาลคาด GDP GROWTH ปีหน้าโต 5%YOY) ซึ่งเป็น ปัจจัยหนุนต่อ FLOW ต่างชาติให้ทยอยไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป คาดนำโดย กลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์ทั้งส่วนของ DIGITAL WALLET และ E-REFUND

ส่วนวันนี้ คาด SET INDEX แกว่งในกรอบ 1385-1400 จุด ส่วน TOPPICK วันนี้เลือก CBG TU CPALL

แนวโน้มการปรับขึ้นค่าไฟช่วงต้นปี หนุนกลุ่มโรงไฟฟ้ามากแค่ ไหน

คณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมเปิดรับฟังความเห็นปรับขึ้นค่าไฟ งวดม.ค.-เม.ย. 2567 โดยคาดอยู่ในกรอบ 89.55- 216.42 สตางค์/ หน่วย เทียบกับ เดือน ก.ย.-.ค. ที่มีค่า FT อยู่ที่ 20.48 สตางค์/หน่วย ซึ่งเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.79 บาท/หน่วย จะส่งผลให้อัตราค่าไฟงวดใหม่คาดอยู่ราว 4.68 – 5.95 บาท/หน่วย จาก เดิม 3.99 บาท/หน่วยในรอบก่อนหน้า โดย กกพ.จะเปิดรับฟัง ความคิดเห็นตั้งแต่ 10 - 24 พ.ย. 2566 ก่อนจะสรุปผล และประกาศใช้อย่างเป็น ทางการต่อไป

สำหรับแนวทางการปรับปรุงค่า FT ดังกล่าว เบื้องต้นถือเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่มฯ เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้ประกอบการ โรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วน ขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง จะมีรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม อัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น สอดคล้องกับคาดการณ์ต้นทุนก๊าซฯที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยังมีส่วน เพิ่มที่จะได้รับจากการทยอยชำระคืนหนี้ ส่งผลให้เบื้องต้นคาดอัตรากำไรในช่วง 1Q67 จะเริ่มฟื้นตัวจากช่วง 4Q66ได้ รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยที่มีอัตราค่าไฟที่ LINK กับ ค่า FT จะได้รับประโยชน์ จากอัตราค่าไฟที่ เพิ่มขึ้นตามค่า FT ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน กกพ. ยังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน จึงยังต้องรอการสรุปเป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ชัดเจน รวมถึงนโยบายของภาครัฐ ฯว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องหรือไม่

โดยฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เท่าตลาด ซึ่งภาพระยะยาวคาดจะเห็น ทิศทางกำไรที่ค่อยๆทยอยฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ จากต้นทุน ก๊าซฯ ที่เริ่มปรับตัว ลดลงจากช่วงปี 2565 ที่ดีดตัวขึ้นแรงตามสภาวะสงคราม คงคำแนะนำหาจังหวะทยอย สะสมลงทุนระระยาวสำหรับ GULF (FV@63B), BGRIM (FV@32B) และ GPSC (FV@55B)

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย