สกุลเงิน JPY แข็งค่า ในขณะที่สกุลเงิน AUD NZD อ่อนค่ามากสุดในวันนี้

สรุปภาพรวมตลาดสกุลเงินในขณะนี้นะครับ

สกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุด คือ สกุลเงินเยน JPY

สกุลเงินที่อ่อนค่าลงมากที่สุด คือ สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย AUD และสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ NZD

สาเหตุที่สกุลเงินเยน JPY แข็งค่ามากที่สุดในวันนี้

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อของญี่ปุ่นขึ้นสู่ระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ในการประชุมนโยบายการเงินซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งจะทำให้ความพยายามในการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (Ultra-loose Monetary Policy) ของ BOJ เป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น

ทั้งนี้ การปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้ออาจจะนำไปสู่การทบทวนจุดยืนของ BOJ ที่ต้องการรักษานโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษไว้ เนื่องจากมองว่าการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืนนั้น ยังไม่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ นอกจากนี้ คาดว่าจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับ BOJ ในการยกเลิกการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า นักวิเคราะห์จำนวนมากคาดว่า BOJ จะยุติการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 หลังจากนายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์โยมิอูริ ชิมบุนว่า BOJ จะมีข้อมูลที่มีน้ำหนักมากเพียงพอภายในสิ้นปีนี้ในการระบุว่า จะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบเมื่อใด

อีกหนึ่งสาเหตุที่สกุลเงินเยน JPY แข็งค่าที่สุดในวันนี้นะครับ

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลในวันนี้ (19 ต.ค.) บ่งชี้ว่า การส่งออกของญี่ปุ่นดีดตัวขึ้นในเดือนก.ย. นำโดยการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น

รายงานระบุว่า การส่งออกเพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยฟื้นตัวขึ้นจากการลดลงในเดือนก.ค.และส.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของแฟกต์เซต (FactSet) คาดการณ์ไว้ว่า การส่งออกอาจเพิ่มขึ้น 4.5%

ในขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ปิดตลาดร่วงลงในวันนี้ เป็นปัจจัยที่หนุนให้สกุลเงินเยน JPY มีการแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกัน

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงลงในวันนี้ นำโดยแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีจากความวิตกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 31,430.62 จุด ร่วงลง 611.63 จุด หรือ -1.91%

สาเหตุที่สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย AUD อ่อนค่าลงมากที่สุดในวันนี้นะครับ ในขณะที่สกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ NZD ได้มีการอ่อนค่าลงตามสกุลเงิน AUD เช่นเดียวกัน

สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) รายงานในวันนี้ (19 ต.ค.) ว่า ตัวเลขจ้างงานขยายตัวน้อยเกินคาดในเดือนก.ย. อย่างไรก็ดี อัตราว่างงานยังคงปรับตัวลงเล็กน้อย

ข้อมูลจาก ABS ระบุว่า ตัวเลขจ้างงานสุทธิเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 6,700 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง หลังจากตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 63,300 ในเดือนส.ค.

ส่วนอัตราว่างงานเดือนก.ย.ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.6% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าอาจจะทรงตัวที่ระดับ 3.7% โดยมีสาเหตุบางส่วนมาจากอัตราการมีส่วนร่วมในเดือนก.ย.ลดลงมาอยู่ที่ 66.7% หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 67% ในเดือนส.ค.

ตลาดแรงงานของออสเตรเลียยังคงแข็งแกร่งมาก โดยในช่วง 12 เดือนล่าสุดจนถึงเดือนก.ย. ตัวเลขจ้างงานสุทธิเพิ่มขึ้น 394,300 ตำแหน่ง แม้ว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษที่ 4.1% ก็ตาม

เคต แลมบ์ หัวหน้านักสถิติด้านแรงงานของ ABS กล่าวว่า อัตราว่างงานที่ลดลงนั้นสะท้อนว่า มีคนจำนวนมากขึ้นที่เปลี่ยนสถานะจาก "ว่างงาน แต่ยังมองหางาน" มาเป็นไม่ได้คิดมองหางานทำอีกต่อไป

"เมื่อพิจารณาในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาพบว่า การขยายตัวของการจ้างงานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 35,000 ตำแหน่งต่อเดือน ซึ่งเป็นการขยายตัวเฉลี่ยในระดับใกล้เคียงกับเมื่อปีที่แล้ว"ด้านจำนวนชั่วโมงการทำงานลดลง 0.4% ในเดือนก.ย. หลังจากที่ลดลง 0.5% ในเดือนส.ค. ซึ่งส่งสัญญาณว่าความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานออสเตรเลียเริ่มคลายตัว

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย AUD และสกุลเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์มีการอ่อนค่ามากที่สุดในวันนี้ มาจากการอ่อนค่าลงของสกุลเงินหยวน และการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นจีนในวันนี้นะครับ

ตลาดหุ้นจีนร่วง สกุลเงินหยวนอ่อนค่า จากภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีปัญหาจากวิกฤตอสังหาในจีน ได้ส่งผลมาถึงสกุลเงิน AUD NZD รวมไปถึงราคาทองคำที่มีการปรับตัวลงในช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่ราคาทองคำก็ยังคงมีการปรับตัวลงได้ไม่มากนัก เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่ฉนวนกาซา จึงยังคงหนุนราคาทองคำในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลงในวันนี้ โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างจีนและสหรัฐ

ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,005.39 จุด ลดลง 53.32 จุด หรือ -1.74%

นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐขยายขอบข่ายการใช้มาตรการระงับการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับจีน โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้จีนนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้ในการพัฒนากองทัพ

ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงในวันนี้เช่นเดียวกัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ดัชนีฮั่งเส็งปิดที่ระดับ 17,295.89 จุด ลดลง 436.63 จุด หรือ -2.46%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดลบในวันนี้ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และตัวเลขจ้างงานที่ต่ำกว่าคาดของออสเตรเลียเป็นปัจจัยกดดันตลาด

ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดที่ 6,981.60 จุด ลดลง 96.00 จุด หรือ -1.36% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,172.70 จุด ลดลง 93.00 จุด หรือ -1.28%

สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) รายงานในวันนี้ (19 ต.ค.) ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 6,700 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง หลังจากตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 63,300 ในเดือนส.ค. แต่อัตราว่างงานเดือนก.ย.ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.6% ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าอาจจะทรงตัวที่ระดับ 3.7%

ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากการสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสซึ่งมีแนวโน้มบานปลาย หลังจากเกิดเหตุระเบิดโรงพยาบาลอัล-อาห์ลี อัล-อาราบีในฉนวนกาซา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

และนี่ก็คือปัจจัยทั้งหมดที่ได้กดดันตลาดหุ้นเอเชียให้ร่วงลงยกแผงในวันนี้นะครับ

1) เทสลา ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยกำไรและรายได้ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2566 หลังจากบริษัทปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นแรงซื้อ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังเผชิญกับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

เทสลาเปิดเผยว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 อยู่ที่ 66 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ของรีฟินิทิฟ (Refinitiv) คาดการณ์ไว้ที่ 73 เซนต์ และรายได้อยู่ที่ 2.335 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.41 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2562 ที่ทั้งกำไรและรายได้ของเทสลาออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

2) เทสลาแสดงความกังวลเกี่ยวกับการขยายกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เช่นเดียวกับเจเนอรัล มอเตอร์ส และฟอร์ด โดยระบุถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลง

3) ราคาหุ้นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีนร่วงลงในวันนี้ หลังจากบริษัทเทสลา ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกงเช้านี้ ราคาหุ้นบริษัท EV ของจีนดิ่งลงถ้วนหน้า โดยหุ้นบีวายดี (BYD) และหุ้นเสี่ยวเผิง (Xpeng (NYSE:XPEV)) ร่วงลง 2.18% และ 8.76% ตามลำดับในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่หุ้นลี ออโต (Li Auto) ดิ่งลง 3.14%, หุ้นนีโอ (Nio) ร่วงลง 8.36% และหุ้นจี๋ลี่ (Geely) ร่วงลง 3.97%

4) บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง โค (TSMC) เปิดเผยในวันนี้ (19 ต.ค.) ว่า กำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 3/2566 ร่วงลง 24.9% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาลงส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ชิปสำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือและเซิร์ฟเวอร์ และเป็นการร่วงลงจากฐานที่ระดับสูงของปีที่แล้ว

TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นซัพพลายเออร์รายสำคัญของแอปเปิ้ล มีกำไรสุทธิในเดือนก.ค.-ก.ย. ลดลงสู่ระดับ 2.11 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน จาก 2.809 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวันเมื่อปีที่แล้ว แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของแอลเอสอีจี สมาร์ตเอสติเมต (LSEG SmartEstimate) ที่ระดับ 1.955 แสนล้านดอลลาร์

TSMC ระบุว่า รายได้ในไตรมาส 3 ร่วงลง 14.6% สู่ระดับ 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของบริษัทที่ 1.67-1.75 หมื่นล้านดอลลาร์

ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนในไตรมาส 3 อยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับไตรมาส 2 ที่ 8.17 พันล้านดอลลาร์

5) สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยข้อมูลในวันนี้ว่า ราคาบ้านใหม่เดือนก.ย.ของจีนลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 แม้ว่ารัฐบาลจีนพยายามพลิกฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดลงของราคาบ้านในเดือนก.ย.บ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงซบเซา แม้โดยปกติแล้วเดือนก.ย.จะเป็นเดือนที่ความต้องการซื้อบ้านในตลาดจีนจะเป็นไปอย่างคึกคักก็ตาม

NBS ระบุว่า ราคาบ้านใหม่เดือนก.ย.ลดลง 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน หลังจากที่ลดลง 0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบเป็นรายปี ราคาบ้านเดือนก.ย.ลดลง 0.1% หลังจากที่ลดลง 0.1% ในเดือนส.ค.เช่นกัน

6) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2566 และ 2567 โดยระบุว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนอ่อนแรงลง และภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงชะลอตัว

ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนจะขยายตัว 5% ในปี 2566 และขยายตัว 4.2% ในปี 2567 ซึ่งลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระบุว่า GDP จะขยายตัว 5.2% ในปี 2566 และขยายตัว 4.5% ในปี 2567

7) การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสมีแนวโน้มบานปลาย หลังจากเกิดเหตุระเบิดโรงพยาบาลอัล-อาห์ลี อัล-อาราบีในฉนวนกาซา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐซึ่งอยู่ในระหว่างการเยือนอิสราเอลได้แสดงความเห็นว่า เหตุระเบิดดังกล่าวน่าจะเกิดจากการที่กลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ยิงจรวดพลาดเป้า

ทั้งนี้ แม้ว่าปธน.ไบเดนให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลืออิสราเอลและปาเลสไตน์ แต่เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการเจรจาเพื่อป้องกันการลุกลามของสงคราม โดยทำให้รัฐบาลจอร์แดนตัดสินใจยกเลิกการประชุมสุดยอด 4 ฝ่ายระหว่างปธน. ไบเดน, กษัตริย์อับดุลลาห์แห่งจอร์แดน, นายอับเดล ฟัตตาห์ อัล ซีซี ประธานาธิบดีอียิปต์ และนายมาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐขยายขอบข่ายการใช้มาตรการระงับการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับจีน โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้จีนนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้ในการพัฒนากองทัพ

นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก (Economic Club of New York) ในเวลา 23:00 คืนนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นายพาวเวลจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด