แม้ปัจจัยแวดล้อมที่สร้างแรงกดดันจะยังไม่จบลง แต่การที่ SET Index ได้ปรับตัว ลดลงช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นการดูดซับปัญหาไปแล้วระดับหนึ่ง ซึ่งน่าจะขจัด อาการ Panic Sell ออกไปได้ หลังจากนี้จะเป็นการตอบสนองตามพัฒนาการ ของเหตุการณ์ ประเด็นแรกเป็นสถานการณ์สงคราม อิสราเอล-ฮามาส ซึ่ง ภาพรวมเหตุการณ์ยังรุนแรงต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีการขยายวงไปยังประเทศ พันธมิตรของทั้ง 2 ฝ่าย กรณีดังกล่าวส่งผลทำให้ราคาน้ำมัน และ สินทรัพย์ ปลอดภัยอย่างทองคำ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งยังเป็นโอกาสในการเข้าเก็งกำไร ส่วนอีก เรื่องหนึ่งคือ Bond Yield สหรัฐที่เริ่มปรับลดลง ส่งผลทำให้USD อ่อนค่า และ เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อ Fund Flow สำหรับในมุม ของ Valuation พบว่าวานนี้ที่ PBV 1.37 เท่า หรือบริเวณ 1430 จุด ซึ่งเป็น บริเวณ -2SD ทำหน้าที่เป็นแนวรับได้ดี
หลังจากที่ปรับฐานมาต่อเนี่องหลายวัน และวานนี้สามารถดีดตัวกลับมาเหนือ 1430 จุดได้ ทำให้ SET Indexวันนี้มีโอกาสดีดตัวกลับ มองกรอบ 1420 –1440 จุดหุ้น Top Pickวันนี้เลือก BBL, LH และ WHA
สงครามอิสราเอล-ฮามาส
ยังต้องติดตามใกล้ชิด พัฒนาการของเหตุการณ์สู้รบกันระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ล่าสุดกองทัพอิสราเอล สามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ในบริเวณด้านนอกของฉนวนกาซาได้แล้ว และ ประกาศยึดพื้นที่โดยรอบอย่างสมูบรณ์ โดยจะตัดขาดการส่งกระแสไฟฟ้า พลังงาน อาหารและน้ำจากอิสราเอลเข้าไปในดินแดนดังกล่าว อีกทั้งการโจ้มตีภายในดินแดน อิสราเอลยังได้ยุติลง
อย่างไรก็ตามความไม่สงบดังกล่าวยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เป็นเพราะความ กังวลว่าการทำสงครามจะขยายวงกว้างไปในระดับภูมิภาค เนื่องจากมีหลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป แคนนาดา ฯลฯ ที่สนับสนุนอิสราเอลและมองว่ากลุ่มฮามาสเป็น องค์กรก่อการร้าย ขณะที่กลุ่มฮามาสเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรในภูมิภาคที่ ประกอบด้วย อิหร่าน ซีเรีย เลบานอน ซึ่งตะวันออกกลางถือเป็นแหล่ง Supply น้ำมันดิบ เกือบ 1 ใน 3 ของโลก ทำให้ผลที่ตามมากระทบต่อราคาน้ำมันดิบวานนี้ดีด ตัวขึ้นไปมามากว่า 4%
สรุป การสู้รบกันระหว่างประเทศระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ที่รุนแรงมากสุดในรอบ หลายปี ล่าสุดอิสราเอลประกาศว่าสามารถควบคุมสถานการณ์บริเวณรอบนอก ของกาซาอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ความกังวลว่าความไม่สงบจะขยายวกว้างไป ในระดับภูมิภาค ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นแรงอีกครั้ง
Bond Yield ทยอยปรับตัวลง หลัง FED มีท่าทีคงดอกเบี้ยมาก ขึ้น หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นทุกดัชนี ทั้ง Dowjones S&P และ Nasdaq ราว 0.4%-0.6% หลังตลาดรับรู้เหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางไประดับหนึ่งแล้ว บวกกับ นักลงทุนคลายความกังวลว่า FED จะยังคงใช้นโยบายทางการเงินเชิงรุก หลัง รองประธาน Fed กล่าวในการประชุมวานนี้ว่า ยังคงตระหนักถึงสภาวะทางการเงินที่ตึง ตัวขึ้นผ่าน Bond Yield ที่สูงขึ้น ซึ่งมักจะเป็นจุดสะท้อนเส้นทางการดำเนินนโยบายใน อนาคต ซึ่งสอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ ประธาน Fed สาขา Dallas ออกมาพูดในทำนอง เดียวกันว่า Bond Yield ที่ปรับสูงขึ้น อาจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐลดความร้อนแรงลง และอาจมีความจำเป็นน้อยลงที่จะดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดเช่นเดิม ซึ่งประเด็น ดังกล่าวหนุนให้ วานนี้ Bond Yield สหรัฐฯปรับตัวลงแรง โดย Bond Yield 2 ปี ปรับ ลง 14 Bps. อยู่ที่ระดับ 4.94%, Bond Yield 10 ปี ปรับลง 16 Bps. อยู่ที่ระดับ 4.64%
ซึ่งหากพิจารณา Fed Watch Tool จะเห็นได้ว่า ความน่าจะเป็นที่ Fed จะคงอัตรา ดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.50% ในการประชุมรอบหน้ามีมากขึ้น โดยมีความน่าจะเป็นอยู่ที่ 88.0% ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์ยังมีความน่าจะเป็นที่จะคงดอกเบี้ย 73%
ด้วยประเด็นดังกล่าว หนุนให้ Dollar Index ชะลอการแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา และหนุนให้ ค่าเงินประเทศอื่นๆแข็งค่าตามไปด้วย รวมถึงค่าเงินบาทที่มีโอกาสแข็งค่าเช่นกัน หลัง อ่อนค่ากว่า 5% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และอยู่ระดับใกล้แนวต้านที่ระดับ 37.00 บาท เหรียญฯ ทำให้ Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าประเทศไทยในช่วงสั้น ซึ่งวานนี้ซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นไทยกว่า 3 พันล้านบาท
สรุป FED ส่งสัญญาณว่ามีโอกาสที่จะคงอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น หนุน Dollar Index ชะลอการแข็งค่า และทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าในช่วงสั้น หนุน Flow ต่างชาติมี โอกาสไหลเข้าในช่วงสั้นราว 2-3 สัปดาห์นับจากนี้
คาดหวังตลาดรีบาวน์กลับ...ซื้ออะไรดี?
ตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนมาระยะหนึ่ง สะท้อนได้จากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลดลงแรงถึง -7.5% ซึ่งเป็นลดลงกว่าครึ่งของผลตอบแทน ytd ที่ -14.2% และน่าจะเห็นอาการ Panic Sell มาในระดับหนึ่งแล้ว สะท้อนได้จากหุ้นขนาด เล็ก อย่าง MAI Index กลับปรับฐานลงแรงกว่า SET Index มาก โดย MAI Index ในช่วง 1 เดือน ปรับลงถึง -12% และในปีนี้ -27.6%ytd จนปัจจุบันดัชนีทั้ง 2 มี RSI เข้าเขต Oversold แล้ว น่าจะมีโอกาสรีบาวน์กลับขึ้นมาบ้าง
และวานนี้ยังเห็นสัญญาณจากต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,963 ล้านบาท พร้อมกับซื้อสัญญา SET50 Futures อีก 16,344 สัญญา
อีกทั้งตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานลงแรงในวานนี้ แต่ไล่กลับมายืยืนเหนือ 1430 จุด ซึ่ง เป็นแนวรับที่สำคัญทางพื้นฐาน คือ มี PBV ที่ 1.37 เท่า ซึ่งต่ำอยู่ที่ระดับ -2SD ในรอบ 5 ปี พอดี
ความคาดหวังตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวน์สูง พร้อมกับ Fund Flow สลับเข้ามาซื้อ สุทธิฝ่ายวิจัยฯ คัดกรองหุ้นสำหรับ Trading ระยะสั้น คือ หุ้นที่ถูกหุ้นที่ถูก Short Sale เกิน 50 ล้านบาท และมากกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายในเดือนนี้และยังลงมาลึก กว่าตลาด ซึ่งมีโอกาสถูก Covershort หรือรีบาวน์สั้นๆได้ อาทิ BGRIM, BAM, EA, GULF, TOP, SCGP, GUNKUL, MTC, SPALI เป็นต้น
นอกจากนี้ยังทำการค้นหา 15 หุ้นที่ต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิทางตรงมากสุดในวานนี้ ตามตารางทางด้านล่าง โดยฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ CPALL (BK:CPALL), SCC, BDMS, CRC, PTTGC, TIDLOR, KBANK (BK:KBANK)
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities