ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ดูไม่มีเรื่องใหม่ ที่ดูตืนเต้นหน่อยก็น่าจะเป็นการ เคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวลดลง 1.08 – 1.8% ซึ่งก็น่าจะส่ง Sentiment เชิงลบมายังตลาดหุ้นบ้านเราบ้าง ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้ตลาดสหรัฐฯ ปรับลดลงเกิดจากตัวเลขในตลาดแรงงานที่ดูแข็งแรง ทำให้กังวลว่า Demand Pull Inflationจะกลับมา ความคิดดังกล่าวดึง Bond Yieldให้สูงขึ้น และตามด้วย โอกาสที่ Fed ต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.5%ไปอีกนาน ซึ่งหากดูกันจริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ สำหรับบ้านเราความสนใจอยู่ที่เงินบาทที่อ่อนค่าลงมาแรง แต่ล่าสุดก็มีสัญญาณการพักตัวสั้นๆ บริเวณ 36 บาท ซึ่งในช่วงเวลาแบบนี้ก็ น่าจะทำให้การไหลออกของ Fund Flow เบาลงชั่วคราว และมาดูกันอีกทีสัปดาห์ หน้า ส่วนนโยบายของรัฐบาล หลายเรื่องมีความคืบหน้า แต่ขั้นตอนการทำงานที่ ไม่ชัดเจนเท่าที่ควรทำให้เกิดความกังวลกับภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ
SET Index วันนี้น่าจะผันผวนอยู่ในกรอบแคบๆ บริเวณ 1507 – 1520 จุด ใน เชิงกลยุทธ์ เรายังคงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นเมื่อ SET Index เข้าใกล้1500 จุด ตามเดิม หุ้น Top Pickวันนี้เลือก BJC, CK และTU
ความกังวลดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น กดดันตลาดหุ้นร่วงช่วงสั้น
วานนี้ตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐร่วงระนาวราว -1.1% ถึง - 1.8% จากความกังวลในเรื่อง ดอกเบี้ยนโยบายอาจยืนอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาด โดย Bond Yield อายุ 10 ปี สหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นไปที่ 4.5% ทำจุดสูงสุดในรอบ 17 ปี และยังห็นการเคลื่อนย้ายเม็ด เงินเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ Dollar Index แข็งค่ากว่า 105.4 จุด
ทั้งนี้ Fed มีโอกาสตรึงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงยาวนานขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยล่าสุดกระทรวงแรงงานสหรัฐเผย ตัวเลข ผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานอยู่ที่ 201,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบปีนี้ และยัง น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2019ซึ่งอาจเป็นแรงกระตุ้น Demand Pull Inflation ได้
อย่างไรก็ตามในระยะยาวภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงหยุดชะงักในระยะ ถัดไป เมื่อพิจารณาการเก็บรวบรวมสถิติของ Bloomberg ทีมี่กระแสกล่าวถึง “Soft Landing” มากๆ มักจะตามมาด้วย Recession นอกจากนี้ยังมีอีก 3 ปัจจัยหลักที่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1. สหภาพแรงงานรถยนต์สหรัฐประท้วงหยุดงานล่วงเข้าสู่วันที่ 6 เรียกร้องเพิ่ม ค่าจ้าง เริ่มส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยอาจทำให้ Supply ขาดแคลนจนราคา รถยนต์ปรัตัวสูงขึ้น สะสมเป็นปัญหาเงินเฟ้อ
2. ปัญหาภาระหนี้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กดดันให้รัฐลดงบประมาณด้าน การใช้จ่าย เสี่ยงต่อการเกิด Government Shutdown
3. การกลับมาชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (Student Loan) กว่า 43 ล้าน ราย อาจทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงได้
สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ค่อนข้าง Sensitive ทำให้ Bond Yield ที่ปรับตัว สูงขึ่น เพิ่มระดับความกังวลดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจยืนอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่า กดดันตลาดหุ้นร่วงลงแรงในช่วงสั้นๆ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจ หยุดชะงักในระยะถัดไป ทั้งจากการหยุดงานประท้วง บวกกับปัญหาภาพระหนี้พุ่งสูง รวมถึงการกลับมาชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
Fund Flow ต่างชาติชะลอขายหุ้นไทยแล้ว หวังเข้าระยะถัดไป เพราะอะไร ? … มาดูกัน
วานนี้ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยปรับตัวขึ้น 6.36 จุดปิดที่ระดับ 1514.26 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั้งโซนเอเชีย ยุโรป สหรัฐฯ ปรับตัวลงราว 0.5%- 1.5% ซึ่งฝ่ายวิจัยฯคาดว่านับจากนี้ตลาดหุ้นไทยจะ Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั้ง ในทิศขาขึ้นและขาลงในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ด้วยเหตุผล 3 ข้อ ดังนี้
1. เริ่มเห็นสัญญาณของเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าประเทศไทย 3 ทางวันแรก ได้แก่ ตลาดตราสารหนี้ +121 ล้านบาท ตลาดหุ้น +637 ล้านบาท และตลาดฟิว เจอร์ส SET50 Futures +2.1 หมื่นสัญญา
2. สัญญาณค่าเงินบาททางเทคนิคมีโอกาสชะลอการอ่อนค่า หลังจากที่อ่อน ค่าไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 36.30 บาท/เหรียญฯ และแนวต้านถัดไปที่ 36.50 บาท/เหรียญฯ และเริ่มส่งสัญญาณของการกลับทิศ จาก Indicator RSI เข้าเขต Overbought และ Fund flow ต่างชาติไหลเข้ายิ่งเป็นตัวเสริมให้ ค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่าได
3. Valuation ตลาดหุ้นไทยโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นอื่น ทั้งในมุม Laggard โดย ผลตอบแทน YTD ของตลาดหุ้นไทย -9.3% ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั้ง Taiwan, US, S.Korea, Indonesia ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทั้งสิ้น และหาก พิจารณาในมุมของ Market Earning Yield Gap ตลาดหุ้นไทยยังเหนือกว่า ประเทศอื่นๆ จากที่ กนง.ไม่ได้ใช้นโยบายทางการเงินเชิงรุกรุนแรงเท่าประเทศ อื่นๆ โดย MEYG ของไทยอยู่ระดับ 3.6% ซึ่งสูงกว่าตลาดเพื่อนบ้านอย่าง S.Korea, Philippines, Indonesia และที่สำคัญสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ที่มี MEYG -0.5%
สรุป Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป จาก 3 เหตุผล ข้างต้น ซึ่งมีโอกาสทำให้ SET Index กลับไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1530 จุด ก่อน และ ยังคาดหวังเดินหน้าสู่ดัชนีเป้าหมายที่ 1600 จุด ในช่วงที่เหลือของปี ส่วนวันนี้มอง กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ไว้ที่ 1507-1520 จุด
ค้นหาหุ้นพื้นฐานดี ต่าชาติถือน้อย หลบความผันผวนจาก ต่างชาติซื้อขายหนัก
ปัจจุบันต่างชาติถือหุ้นไทยน้อยลง โดยถือครองทางตรงเพียง 23.9% (หรือถือครอง เพียง 18.7% กรณีไม่รวมหุ้น DELTA) แต่มีการซื้อขายหุ้นไทยที่ร้อนแรงมาก โดย ล่าสุดมีสัดส่วนการซื้อขายหุ้นไทย 50.8% สูงกว่านักลงทุนรายย่อย + พอร์ตโบรก เกอร์ + นักลงทุนสถาบันฯ ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 49.2% (ส่วนหนึ่งมาจากการซื้อขายผ่าน ระบบ Algo Trade ที่สูงขึ้นเป็น 35% ของการซื้อขายทั้งหมดในตลาด) หนุน Turnover สูงขึ้นมาก โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติหมุนการซื้อขายหุ้นไทยสูงถึง 2.47 เท่า ของ นักลงทุนไทยทั้งหมด ผิดกับช่วง 10 ปี ที่แล้ว ที่ต่างชาติยังซื้อขายหุ้นไทยน้อยกว่าคน ไทยพอสมควร (รายละเอียดและภาพประกอบตามบทวิเคราะห์ Market Talk ประจำ วันที่ 21 ก.ย. 66)
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่บางตัว ณ ปัจจุบัน มีการแกว่งตัวระหว่างวันราว ± 3 -4% ได้ และผิดกับในอดีตที่แกว่งตัวราว ± 1 -2% เท่านั้น
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดกรองหุ้นพื้นฐานดี หลบความผันผวนจากการซื้อขาย แรงของนักลงทุนต่างชาติ โดยผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
▪ เป็นหุ้นที่ปัจจุบันต่างชาติถือน้อยกว่า 25% ของจำนวนหุ้นจดทะเบียน
▪ เป็นหุ้นพื้นฐานแข็งฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ Outperform และมี Upside
▪ ได้รับกระแสบบวกหนุนจากธีมต่างๆ อาทิ ปันผลสูง, เศรษฐกิจจีนฟื้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities