แม้จะมีแรงขายออกจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอาจเป็นเพราะความกังวลเรื่องฐานะ การคลังของบ้านเราหากใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้หาเสียงไว้ เพิ่มความเสี่ยงต่อการที่อาจถูก ลดอันดับความน่าเชื่อถือ แต่ในมุมมองของเรา ประโยชน์ที่จะได้รับบนต้นทุนความ กังวลดังกล่าวก็มีอยู่มากเช่นกัน เบื้องต้นคาดวาจะเห็น Momentum การเติบโต ของเศรษฐกิจจาก 2H66 สู่ 1H67 ภายใต้สมมุติฐานมีการแจกเงินเข้า Digital Wallet สอดคล้องกับกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 2H66 จะโตจาก 1H66 ราว 19% นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังอาจได้Sentiment เชิงบวกจากสัญญาณการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจจีนที่ชัดเจนเพิ่มขึ้นตามลำดับ ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมด้ง กล่าว การที่จะสร้างโอกาสในการทำกำไร นักลงทุนต้องอยู่ในโหมด “ใจดีสู้เสือ”
Investment Themeช่วงนี้ เน้นไปที่ นโยบายของรัฐบาล และ China Playโดยการ เคลื่อนไหวของ SET Index คาดวาจะผันผวนอยู่ในกรอบ 1535 – 1550 จุด หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), BGRIM และ SCGP
จีนกระตุ้นเศรษฐกิจถี่ขึ้น + ญี่ปุ่นจ่อหยุดดอกเบี้ยติดลบ หนุน เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
วานนี้แบงค์ชาติจีนเผยยอดปล่อยกู้ใหม่เดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 1.36 ล้านล้านหยวน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 3.459 แสนล้านหยวน และดีกว่าตลาดคาดที่ 1.20 ล้านล้านหยวน สะท้อนความต้องการสินเชื่อของภาคครัวเรือนจีนเริ่มกลับมาฟื้นตัว อีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเรียกความ เชื่อมั่น รวมถึงเร่งแก้ปัญหาภาคอสังหาฯ ในจีน ซึ่งปัจจัยเชิงบวกเหล่านี้ช่วยหนุนให้เงิน หยวนแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ล่าสุดรัฐบาลจีนยังออกมาตราการเพิ่มเติมหวังกระตุ้นภาคอสังหาฯ ผ่าน การยกเลิกข้อจำกัดซื้อขายบ้านในเมืองใหญ่ อาทิ จี่หนาน และชิงเต่า เพื่อให้ประชาชน สามารถขายบ้านได้ในทุกพื้นที่ของเมือง (ก่อนหน้านี้มีการจำกัดจำนวนบ้านที่ สามารถซื้อได้) หนุนให้ภาพ Downside มีจำกัดมากขึ้น ทำให้ธีม China Play เริ่ม กลับมาน่าสนใจ อาทิ AOT SCGP IVL PTTGC PTTEP
ส่วนในประเทศญี่ปุ่น ด้วยเงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง ทำให้ BOJ เริ่มส่งสัญญาณว่า อาจยุติการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษในช่วง 1Q67 (ดอกเบี้ยปัจจุบัน - 0.1%) ซึ่งสวนทางกับ Fed ที่มีท่าทีใกล้จบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้เงินเยน (ซึ่งมี สัดส่วนในตะกร้าเงินดอลลาร์14%) วานนี้แข็งค่าขึ้นมากกว่า 1%
ภาวะดังกล่าวกดดันให้ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงมาราว 0.5% สู่ระดับ 104.57 และเห็นภาพของการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัยเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง มากขึ้น โดยตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปปิดตัวในแดนบวกราว 0.3% -1.1%
สรุป ภาคการบริโภคของจีนเริ่มส่งสัญญาณกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังเห็นภาพการ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนมีความถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยจำกัด Downside และ หนุนให้เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่า ขณะที่ญี่ปุ่นมีโอกาสยุติดอกเบี้ยแบบติดลบ สวนทาง กับสหรัฐฯ ที่ใกล้จบวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง และเม็ดเงินย้ายจากสินทรัพย์ปลอดภัยเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ประเทศไทย เริ่มเดินหน้าสู่ยุคใหม่ … FUTURE THAI
วานนี้นายกรัฐมนตรี(เศรษฐา ทวีสิน) แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ใช้ เวลารวมไปทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง โดยนโยบายที่เป็น Highlight คือ การแจก Digital Wallet 10,000 บาท ที่ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งฝ่ายค้านทั้งพรรคก้าว ไกล และพรรคประชาธิปัตย์ได้ทักท้วง ถึงประเด็นแหล่งที่มาของงบประมาณดังกล่าว รวมถึงนโยบายที่ไม่ตรงปกกับตอนหาเสียง อาทิ ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอด สาย, การปรับลดราคาน้ำมันดีเซล-ไฟฟ้า, การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทภายในปี 2570, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท เป็นต้น
ซึ่งประเด็นแหล่งที่มาของงบประมาณ ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าอาจมีคำถามอยู่บ้าง อาทิ ต้อง ปรับลดงบลงทุนภาครัฐ, ลดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจากภาระหนี้สาธารณะใน ปัจจุบัน รวมถึงปรับลดสวัสดิการที่ถูกมองว่าซ้ำซ้อน ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง คือ การกู้ เงิน ซึ่งจะกู้เพิ่มได้อีกราว 1.58 ล้านล้านบาท (บนสมมุติฐาน หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ ระดับ 70%) โดยหลักการแล้วไม่ควรกู้ จนเต็มเพดานหนี้เนื่องจากจะทำให้เสถียรภาพ ของเศรษฐกิจไทยลดลง จากที่สถาบัน Rating ต่างๆอาจปรับลด Credit rating ของ ไทยได้ และมีส่วนให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าในระยะถัดไป ชะลอการไหลเข้าของ Flow ต่างชาติ
ขณะที่ในมุมของเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวนับตั้งแต่ 2H66 เนื่องจากสมมุติฐาน GDP GROWTH ปีนี้ของฝ่ายวิจัยฯ +3%YOY ซึ่งใน 1Q66 +2.7%YOY และ 2Q66 +1.8%YOY ดังนั้น 2H66 ต้องโตเฉลี่ยไตรมาสละ 3.8%YOY ขณะที่ประเด็นขับเคลื่อน คือ ภาคการบริโภคในประเทศและภาคบริการในส่วนท่องเที่ยว ซึ่งเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON ขณะที่ปัจจัยเสริม คือ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่ง คาดจะเริ่มกระตุ้นในช่วง 1H67 เป็นต้นไป จึงทำให้สมมุติฐาน GDP GROWTH ปีหน้า มีโอกาสอยู่ที่ 3.5% ตามเดิม
สรุป รัฐบาลชุดใหม่ เตรียมผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนให้เศรษฐกิจตั้งแต่ 2H66 เติบโตเป็นขั้นบันได โดยฝ่ายวิจัยฯยังคงประมาณการ GDP Growth ปี 2566 2567 โต 3% และ 3.5% ตามลำดับ ขณะที่ความเสี่ยง คือการกู้เงินเพิ่ม ซึ่งอาจทำให้ เสถียรภาพทางการเงินของบ้านเราลดลงได้
ตลาดหุ้นไทยย่อตัวลงมา ยังอยู่ในโซนน่าสะสม
ฝ่ายวิจัยฯ ทำการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของ SET Index ตั้งแต่วันที่ได้นายกฯ คน ใหม่ 22 ก.ค. 66 ถึง ปัจจุบัน 11 ก.ย. 66 พบว่า SET Index เคยขึ้นไปถึง 3.3% แต่ ปัจจุบันย่อตัวลงมาเหลือผลตอบแทน 1% จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามจากการเริ่มต้นเดินเครื่องทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ในระยะกลางถึง ยาวน่าจะคาดว่าการผลักดันให้ตัวเลขเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตมาก ขึ้นได้ รวมถึง Fund Flow ต่างชาติอาจจะไหลกลับสนับสนุนอีกครั้ง
และหากวิเคราะห์ผลตอบแทนสะสมออกเป็นราย Sector พอจะแบ่งแยกกลุ่มหุ้นที่ Outpeform และ Underperform SET Index ที่ +1% ได้ดังนี้
1. กลุ่มหุ้นที่อิงกับความคาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้น หลังรัฐบาลกลับมาเร่ง กระตุ้นเศรษฐกิจ Outperform ตลาดมาก อาทิ AGRI +9.6%, STEEL+7.3%, PKG+6.8%, AUTO +5.0%, FIN +4.7%, CONS +4.6%, ETRON +3.4%
2. กลุ่มหุ้นอิงกระแสนโยบายภาครัฐ Outperform ตลาดรองลงมา อาทิ TOURISM +3.3%, FOOD +2.9%, COMM +2.8%, PROP +2.6%, MEDIA 2.6%, TRANS 1.3%
3. กลุ่มที่ Underperform ตลาดมากเกินไป สวนทางราคาน้ำมันโลกที่ขยับขึ้น อาทิ ENERG -2.2%, PETRO -5.4%
สรุป พอแจกแจงผลตอบแทนสะสมออกมาเป็นราย Sector จะเห็นภาพชัดว่า SET Index ที่ย่อตัวลงมาหลักๆ เกิดจากการย่อตัวแรงของหุ้นกลุ่มปิโตรฯ และพลังงาน และ เริ่มเห็นสัญญาณ RSI Oversold น่าจะเห็นการรีบาวน์กลับช่วงสั้นๆ ได้ ขณะที่หุ้น กลุ่มอิงกับเศรษฐกิจจีน และกลุ่มที่ได้กระแสนโยบายภาครัฐ น่าจะยังเป็นผู้นำในการ พยุงตลาด ทำให้คาดหวังว่า SET Index ยังมี Upside มากกว่า Downside จาก ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ 1535 – 1550 จุด Toppick SCGP(FV@52), AOT(FV@85), BGRIM(FV@48)
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities