SET Index ย่อยตัวลงมาจากแรงกดันของหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีประเด็นเรื่อง ท่อน้ำมันของ TOP รั่ว ประกอบกับความกังวลเรื่องแนวทางการปรับลดราคา น้ำมันดีเซล และ ค่าไฟฟ้า ของรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตามเรามองว่าประเด็น ดังกล่าว เป็นความกังวลระยะสั้น และน่าจะถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นเข้า พอร์ตเพิ่ม สำหรับประเด็นที่น่าสนใจวันนี้เริ่มจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อ โดย WTI แตะระดับ 90 เหรียญฯ/บาร์เรล เกิดจากแรงกระตุ้นของการที่ OPEC+ อาจ ลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปี 2566 และเศรษฐกิจจีนที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ซึ่ง ภาวะดังกล่าวน่าจะเป็นผลดีต่อ PTTEP ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวทาง เศรษฐกิจจีนก็จะดีต่อหุ้นอย่าง SCGP และ CPF ส่วนกรอบเวลาในการเริ่มทำงาน ของรัฐบาลใหม่ยังคาดหวังว่าจะเห็นการประชุม ครม. นัดแรก 12 ก.ย.
ในระยะสั้นเชื่อว่า SET Index อยู่ในช่วงการพักฐาน แต่ก็จะมี Downside จำกัด ในทางกลยุทธ์ ถือเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต วันนี้คาดอยู่ในกรอบ 1540–1555จุด หุ้น Top Pick เลือก ADVANC, CPF, PTTEP และ SCGP
ราคาน้ำมันดิบโลก และ ไทยมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ... มาดูกัน
ตั้งแต่ ก.ค.66-ปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 26%ขณะที่วานนี้ยังปรับตัวขึ้นต่อ ราว 0.5% อยู่ระดับ 86เหรียญฯ
ซึ่งราคาน้ำมันดิบ WTI มีโมเมนตัมไปต่อในกรอบ 85-100 เหรียญฯ ทั้งเห็นสัญญา CALL OPTION น้ำมันดิบ WTI มีปริมาณมากสุดนับแต่เดือน พ.ค.66 อยู่ที่ 1.3 แสน สัญญา และยังได้รับปัจจัยสนับสนุนมีอยู่ 3 เหตุผลหลักๆ ดังนี้
• Fed มีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.50% ในการประชุมเดือน ก.ย.66 และมีแนวโน้ม ที่จะลดดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปี 2567
• คาดหวัง เศรษฐกิจจีนเติบโตในอนาคต หลังรัฐบาลจีนส่งสัญญาณกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ รวมถึงในการ ประชุม POLITBURO ได้ประกาศช่วยเหลือในหลายภาคส่วน
• OPEC+ อาจขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตต่อไป ซึ่งวันศุกร์นี้จะมีการ ประชุม OPEC แถลงถึงวิสัยทัศน์การปรับเพิ่ม/ลดกำลงัการผลิตในอนาคต
ขณะที่หุ้นอิงราคาน้ำมันในประเทศไทย ราคาขยับตัวขึ้นได้น้อยกว่ามาก โดยรับแรง กดดันมาตรการลดราคาพดลังงานของรัฐ และล่าสุดนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (รอง นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการลด ราคาพลังงานเมื่อวันที่ 4 ก.ย.66 ว่าเรื่องหลักๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ราคาน้ำมัน และราคาไฟฟ้า มีองค์ประกอบของราคาหลายอย่าง เช่น ภาษี ค่าการตลาด ภาระ การเงินและเงินกู้ บางองค์ประกอบไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ต้นทุนของก๊าซธรรมชาติ ในการผลิตไฟฟ้า หรือต้นทุนของราคาน้ำมันดิบ แต่สิ่งที่พิจารณาดำเนินการได้คือ โครงสร้างและองค์ประกอบมารวมกันจนเป็นราคาขายจะต้องมาดูว่าส่วนไหนสามารถ ตัดทิ้งหรือปรับลดได้ จะทำทั้งหมด เมื่อค่าใช้จ่ายลดลง ราคาของพลังงานต่างๆ ก็จะ ปรับลดลงได้ เพื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน นอกจากนี้ยังกล่าวถึงนโยบาย หลักสำคัญอีกประการหนึ่ง ควรจะให้โอกาสเสรีในการหาน้ำมันสำเร็จรูป ที่ไม่ใช่การนำ น้ำมันดิบเข้ามากลั่นจนทำให้มีต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่ควบคุมลำบาก แต่หากเป็นการนำ น้ำมันสำเร็จรูปไม่ต้องมีค่าการกลั่นหรือค่าใช้จ่ายอื่น เพราะราคาทุกอย่างคำนวณจบ แล้ว หากใครสามารถนำพลังงานราคาถูกเข้ามาได้ก็ควรเปิดโอกาสให้ทำได้ ภาครัฐ ควรเป็นผู้กำกับดูแลให้การจัดหาพลังงานเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว
ซึ่งประเด็นต่างๆดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับตัวของภาครัฐว่าจะดำเนินนโยบาย อย่างไรเพื่อลดราคาพลังงานสำหรับในส่วนของตัวแปรที่ควบคุมได้ เช่น ภาษีต่างๆ เพราะการปรับตัวดังกล่าวจะกระทบรายได้ของภาครัฐเป็นหลัก สำหรับในส่วนของ นโยบายการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เพราะไม่ เคยถูกหยิบยกมาพูดถึงหรือดำเนินการในรัฐบาลที่ผ่านๆมาเลย ซึ่งในทางปฏิบัติการ นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอาจเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีข้อจำกัดในหลายด้านทั้งการขนส่งทั้ง ทางรถ ทางเรือ และทางท่อ รวมถึงการคำนวณภาษีนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจะออกมาใน รูปแบบใด ซึ่งเมื่อรวมต้นทุนทั้งหมดแล้วยังได้เปรียบจากการซื้อน้ำมันในประเทศหรือไม่ อีกทั้งน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้ในประเทศปัจจุบันถูกควบคุมโดยกระทรวงพลังงาน
โดยเฉพาะภาคขนส่งจะมีมาตรฐานต่างๆ กำหนดออกมา เช่นในปัจจุบันใช้น้ำมัน สำเร็จรูปที่มีมาตรยูโร 5 เพื่อควบคุมมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการเปิดให้นำเข้า น้ำมันเสรีได้นั้น กระทรวงพลังงานจะสามารถควบคุมการนำมาใช้ได้อย่างมีมาตรฐาน หรือไม่ ยังถือเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา แต่อย่างไรก็ตามประเด็นการเปิดเสรีน้ำมัน สำเร็จรูปดังกล่าวอาจกดดันต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่นช่วงสั้นได้จนกว่ามีสรุปนโยบายที่ ชัดเจน เพราะหากเปิดเสรีจริงก็จะกระทบต่อการขายน้ำมันจากโรงกลั่นในประเทศได้
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบโลกมีโอกาสทรวตัวในระดับสูงต่อไป ตาม ปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในไทยยังต้องรอสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น จาก รมต.พลังงาน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ลดราคาน้ำมัน และ ไฟฟ้า ได้ ยาก ดังนั้นกลยุทธ์ช่วงสั้นในการลงทุน ยังเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นพลังงานที่ได้ประโยชน์
จากทิศทางน้ำมันดิบโลกเป็นขาขึ้น อย่าง PTT (BK:PTT) PTTEP TOP SPRC เป็นต้น โดยทยอย ซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมา
ติดตามเงินเฟ้อไทยเช้านี้...คาดว่ายังอยู่ในระดับต่ำ
วันนี้ 5 ก.ย. เวลา 10.30 น. กระทรวงพาณิชย์จะมีการเผยตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน ส.ค. โดย Consensus คาดว่า Headline CPI ในบ้านเราจะอยู่ที่ +0.6%YoY ปรับตัว สูงขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3% ส่วน Core CPI ประเมินว่าจะอยู่ที่ 0.8%YoY ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน ซึ่ง ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย
ในอีกมุมหนึ่งเงินเฟ้อในบ้านเรามีโอกาสขยับขึ้นได้เช่นกัน หลังราคาพลังงานปรับตัว สูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ในเดือนก.ย. -15.2%YoY หดตัวน้อยลงจากเดือน ก่อนที่ -22.7%YoY
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อไทยยังถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ จึงเชื่อว่าโอกาสขึ้นดอกเบี้ยมีน้อยลง อีกทั้ง Bond Yield ระยะสั้น ที่มักเป็น Leading Indicator ดอกเบี้ยนโยบาย ยังสะท้อน Bond Yield 1Y ไทยล่าสุด 2.2% ซึ่งต่ำกว่า Policy Rate 2.25% ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ Bond Yield 1Y อยู่ที่ 5.36% ซึ่งต่ำกว่า
Policy Rate 5.5% เช่นกัน อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ยังเป็น Inverted Yield Curve จึง ควรระวังเวลา Bond ระยะยาวดีดกลับ อาจกดดันให้ตลาดหุ้นลงได
สรุป เงินเฟ้อทั่วไปไทยเดือน ส.ค. มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นตามราคาพลังงานโลก ขณะที่ เงินเฟ้อพื้นฐานอาจชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อไทยยังถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้าง ต่ำ จึงเชื่อว่าโอกาสขึ้นดอกเบี้ยมีน้อยลง อีกทั้งยังสะท้อนได้จาก Bond Yield 1Y ที่อยู่ ต่ำกว่า Policy Rate ฝ่ายวิจัยประเมินส่งผลดีต่อ SET Index ให้มีแนวต้านทางพื้นฐาน แรกอยู่ที่ 1542 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.7%) และแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1610 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.5%)
ตลาดหุ้นไทยถูกขายทำกำไรบ้าง หลังขึ้นมาต่อเนื่อง เน้นหลบ เข้าหุ้นมีแรงหนุนเฉพาะตัว
ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ส.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องจาก 1506 จุด ไป จนถึง 1579 จุด หรือบวกกว่า 73 จุด รับ Sentiment การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มาในระดับหนึ่งแล้ว เลยเห็นการขายทำกำไรลงมาบ้าง จนล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1548 จุด
อย่างไรก็ตามในช่วงที่เหลือของปี ยังคาดหวังการฟื้นตัวจาก แรงกดดันการขึ้น ดอกเบี้ยที่ชะลอลง (หลังจากขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 7 ครั้ง ในรอบ 12 เดือน), การกระตุ้น เศรษฐกิจของรัฐบาลน่าจะกลับมาชัดเจนกว่าช่วงครึ่งแรกของปี หนุนกำไรบริษัทจด ทะเบียนมีโอกาสฟื้นขึ้น และดัชนี ณ ปัจจุบัน ยังมี Upside จากที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน ดัชนีเป้าหมายปลายปีที่ 1595 จุด
กลยุทธ์ช่วงตลาดย่อตัวลงมา แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานดี ช่วงที่เหลือของปีแนวโน้ม กำไรมีโอกาสเติบโตได้ดี SCGC PTTEP, PTTGC, CPF, CRC, BJC, CPAXT, AOT (BK:AOT), ADVANC, TRUE
ส่วนวันนี้คาดว่า SET ยังพักตัวในกรอบ 1540 – 1555 จุด หุ้นที่แนะนำเน้นหลบเข้า หุ้นมีแรงหนุนเฉพาะตัว CPF, SCGP, ADVANC, PTTEP เป็น Toppick ในวันนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities