ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในรอบที่ 1 ปรากฎว่า Candidate จากก้าวไกล ได้รับเสียงสนับสนุนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลไม่ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้กระแสอย่างไม่เป็นทางการคาดว่าจะมีการโหวต รอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.66 จากการประเมินปัจจัยแวดล้อม ต้องถือว่ายังมีความ ไม่แน่นอนสูงมาก ทั้งในส่วนของบุคคลที่จะถูกเสนอให้โหวต และเสียงสนับสนุน ทำ ให้เกิดความกังวลว่าการเมืองในบ้านเราจะต้องอยู่ในภาวะสุญญากาศอีกระยะ หนึ่ง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในมุมของการลงทุนในตลาดหุ้น เชื่อว่า Fund Flow ยังไม่น่าจะไหลเข้า และอาจมี การไหลออกได้อีกระยะหนึ่ง ขณะที่นักลงทุนในประเทศอยู่ในโหมด Wait & See และด้วย Turnover ที่ต่ำก็น่าจะกดดันให้Upsideของ SET Indexจำกัดมากขึ้น
SET Index น่าจะอยู่ในภาวะที่ผันผวน ภายใต้ความกังวลเรื่องสุญญากาศทาง การเมืองที่อาจนานกว่าที่คิด ทำให้Upside ถูกจำกัด คาด SET Index อยู่ใน กรอบ 1480 –1500 จุด Top Pick เลือก PTTEP, SIRI และ STEC
ตลาดหุ้นนอกบวกต่อ จากความคาดหวังวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น ใกล้จบ + จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นโลกร้อนแรงต่อเนื่อง โดยในฝั่งสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 0.1% - 1.6% ส่วนในฝั่งยุโรป ปิดในแดนบวกตัวราว 0.3% - 0.7% ขณะที่เม็ดเงินยังคงไหลออกจากเข้าสินทรัพย์ ปลอดภัย สะท้อนจาก Dollar Index -0.75% รวมถึง Bond Yield สหรัฐฯ 2 ปี –5 ปี ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 2.4% หลักๆ เป็นเพราะตลาดยังให้น้ำหนักกับภาพเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้Fed ผ่อนคลายนโยบายการเงิน
สัญญาณเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง ยังสะท้อนได้จากเงินเฟ้อผู้ผลิตทั่วไปที่รายงาน ออกมาล่าสุดในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 0.1%YoY ต่ำกว่าคาดที่ 0.4%YoY รวมถึงชะลอตัว ลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 0.9%YoY ทำให้มีความคาดหวังว่าทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ใกล้จะยุติลงแล้ว ขณะที่ผลการสำรวจของ Fed Watch Tool ยังคงมีมุมองว่า Fed มี โอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงแค่ครั้งเดียวในปีนี้ โดยมีเพดานอยู่ที่ 5.50% และอาจเห็น การทยอยปรับลดดอกชี้ยในช่วงต้นที่ 2567
แม้วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวยังเป็น ประเด็นที่น่าติดตาม ขณะที่ Demand โลกที่หดตัว ทำให้ภาคการจีนส่งสัญญาณ อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด โดยล่าสุด สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เผยยอดส่งออกเดือน มิ.ย. -12.4% YoY หดตัวมากกว่าตลาดที่ -9.5%YoY รวมถึงติดลบต่อกันเป็นเดือน ที่ 2 ส่วนการนำเข้า -6.8% YoY หดตัวมากกว่าตลาดที่ 4.0%YoY ทำให้ตลาดยังคง คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งการลด RRR และลดอัตราดอกเบี้ย บวก กับนโยบายการคลังชุดใหญ่
ดังนั้น ตลาดหุ้นต่างประเทศดีดตัวต่อเนื่อง จากความคาดหวังวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของ สหรัฐฯ ใกล้ยุติลง หลังมีสัญญาณเพิ่มเติมจากเงินเฟ้อผู้ผลิตของสหรัฐฯ ที่ลดลง เรื่อยๆ ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังอ่อนแอ ยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ รัฐบาลจีนออกมาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2H66
สุญญากาศทางการเมื่องยิ่งนาน…เศรษฐกิจยิ่งเคว้งคว้าง
ผลการลงมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของรัฐสภา มีคะแนนเสียงเห็นชอบนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง และงดออกเสียง 199 เสียง ถือว่า ได้คะแนนเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา (ขาดอีก 52 เสียงที่จะโหวต สนับสนุนเพื่อให้เสียงถึง 376 เสียง) ทำให้ไม่ผ่านการโหวตเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคน ที่ 30 ของประเทศไทยในรอบแรก คาดว่าจะมีการนัดประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตอีกครั้ง วันที่ 19 ก.ค.66
ภาวะที่เป็นสุญญากาสทางการเมือง หากนานเกินไปก็จะมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ ไทย โดยนอกจากจะทำให้ขาดแนนโยบายในการขับเคลื่อนประเทศที่ชัดเจนแล้ว ก็จะมีผล ต่อระบบงบประมาณ ซึ่งเรากำลังจะหมดปีงบประมาณ ในวันที่ 30 ก.ย.66 หากการ จัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ก็จะทำให้การจัดทำงบประมาณแผ่นดินปี 2567 (ปกติเริ่มใช้ 1 ต.ค. 66) ต้องล่าช้าออกไป นอกจากนี้หากมีความไม่สงบนอกสภา โดยมีการนัดหมายชุมนุมกันในหลายจังหวัด อาจสร้าง Downside ต่อประมาณการ GDP ปีนี้ได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยตัวหลักอยู่ที่ภาคท่องเที่ยวในภาวะปกติ อาทิ ปี 2562 มีสัดส่วนรายได้ราว 12% มูลค่า GDP ทั้งหมด ซึ่งต้องจับตาว่าสถานการณ์ที่ เกิดขึ้นจะนำไปสู่ภาวะที่เห็นการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวหรือไม่ หากนักท่องเที่ยวต่ำ กว่าเป้าหมายก็จะส่งผลกระทบต่อการทำกำไรขอวหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว – โรงแรม อาทิ CENTEL ERW MINT SHR AOT (BK:AOT) เป็นต้น
ในช่วงที่การเมืองเกิดภาวะสุญญากาศ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เน้น Trading หุ้น พื้นฐานแกร่งที่ย่อลงมาลึกจากความกังวลการเปลี่ยนผ่านนโยบายทางการเมือง หรือ กลัวผลกระทบนโยบายของรัฐบาลก้าวไกล ทั้ง 4 กลุ่มด้านล่าง ดังนี้
1. หุ้นต้นทุนค่าแรง รายได้อิงโครงการภาครัฐ STEC, CK, BEM
2. หุ้นหวังพึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม SAWAD, CBG, JMT, TIDLOR
3. หุ้นทุนผูกขาด TRUE, CRC, CPN, CPALL (BK:CPALL)
4. หุ้นได้รับผลกระทบปรับสูตรค่าไฟฟ้า GULF, BGRIM, GPSC, PTTGC
สรุป การเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งแรกไม่สำเร็จ และน่าจะมีการนัดหมายเลือกอีกรอบ 19 ก.ค.66 นี้ แต่เนื่องด้วยประเด็นความเสี่ยงทั้งนอกและในสภายังมีอยู่มาก คาดทำให้ มีโอกาสเปิด Downside ของ GDP Growth ไทย ที่เดิมคาดอยู่ในกรอบ 3.5-4.0% ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯคาดตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนต่อไปในเดือนนี้ และเชื่อว่า Fund Flow ต่างชาติยังคงไม่ไหลเข้ามาสะสมในเร็ววัน โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1480-1515จุด และเลือกกลุ่มหุ้นสลับขั้วที่มีโอกาส Outperform SET ในช่วงเวลาดังกล่าว ชอบ STEC CBG TIDLOR CRC CPALL GULF PTTGC เป็นต้น
หุ้น Global Play ยังน่าสนใจ
ความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐสูงลดน้อยลง หนุนเม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย สะท้อนจาก Bond Yield 2 ปีสหรัฐที่ลดลงเร็วล่าสุดอยู่ที่4.65% เช่นเดียวกับ Dollar Index อ่อนค่าลงมาจนหลุด 100 จุด ช่วยหนุนสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง ตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้น Cyptroให้ปรับตัวขึ้นเด่นในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้าง Sentiment ให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า คือ กลุ่ม BRICS ประกอบด้วย 5 ประเทศ บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) กำลังสร้างสกุลเงินใหม่ที่มีทองคำเป็น สินทรัพย์หนุนหลัง (BRICS Gold Backed Currency) คาดจะมีการนำออกมาใช้ใน ส.ค. นี้ ประเด็นนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งลดความผันผวนทางการเงินระหว่างกัน แต่ อาจกดดันให้ความต้องการเงินดอลลาร์อาจลดลง หรือดอลลาร์อ่อนค่าลงได้
ประเด็นดังกล่าวช่วยหนุนให้ราคา Commodity อย่าง ราคาน้ำมันบวก 9%mtd ถือ เป็น Sentiment ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยที่มีองค์ประกอบหุ้นอิง Commodity กว่า 1 ใน3 ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานบ้านเราหลายๆ ตัว ยัง Laggard ราคาน้ำมันอยู่ อาทิ PTTEP +4.7%mtd, ESSO +4.5%mtd,TOP +4.5%mtd, IRPC +2.6%mtd, PTT (BK:PTT) +2.2%mtd, SETENERG 1.1%, OR -2.4% เป็นต้น
OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 ใครรอด – ใครร่วง
ฝ่ายวิจัยฯ จะมานำเสนอ OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 รายอุตสาหกรรม โดย แบ่งเนื้อหาของแต่ละอุตสาหกรรม ตามการจัดตารางรายวัน ดังนี้
จันทร์10 ก.ค.66 กลุ่มธพ, ท่องเที่ยว, ยานยนต์
อังคาร11 ก.ค.66 กลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร
พุธ12 ก.ค.66 กลุ่มรับเหมา,วัสดุก่อสร้าง
พฤหัสบดี 13 ก.ค.66 กลุ่มปิโตรฯ, พลังงาน, ถ่านหิน, โรงไฟฟ้า
ศุกร์14 ก.ค.66 กลุ่มนิคมฯ,Logistic, อสังหา
โดยวันนี้เป็นคิวของกลุ่มนิคมฯ, Logistic, อสังหาโดยมีรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้
กลุ่มนิคมฯ (oQoQ / oYoY) แนวโน้มยอด pre-sale และ land transfer คาดว่าจะทรง ตัวเทียบกับไตรมาส 1 เนื่องจากธรรมชาติของธุรกิจนิคมฯ มี seasonal คือช่วงครึ่ง หลังของปี อย่างไรก็ตาม ภาพของธุรกิจนิคมฯ มีแนวโน้มสดใส หากอ้างอิงจากข้อมูล ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนงวด 1Q66 ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุน (BOI) โดยในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก (EEC) มีทั้งสิ้น 128 โครงการ (+28%YoY) คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 101,103 ล้านบาท (+84%YoY) โดย จ.ชลบุรี มีโครงการลงทุน มากที่สุด จำนวน 70 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 81,232 ล้านบาท ตามมาด้วย จ.ระยอง ที่มี 41 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 18,653 ล้านบาท และ จ.ฉะเชิงเทรามีจำนวน 17 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,218 ล้านบาท โดยส่วนมากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ฝ่ายวิจัยยังแนะนำ AMATA เนื่องจาก AMATA มี พื้นที่นิคมที่ จ. ชลบุรีขนาดใหญ่ และกลุ่มอุตสาหกรรมของลูกค้าค่อนข้างตรงกับที่ BOI รายงานมา เช่น กลุ่ม Automotive (32%), Electronics & Electrical (9%), และ Chemicals & Related (7%)
กลุ่ม logistics (-QoQ / -YoY) แนวโน้มกำไรโดยรวม 2Q66 ของกลุ่ม logistic คาดว่า จะลดลงเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและงวด 2Q65 ตามทิศทางค่าระวางที่ปรับตัวลดลง โดยหุ้นที่มีโครงรายได้ที่ผันแปรกับค่าระวาง ไม่ว่าจะเป็น WICE, LEO, SONIC, RCL และ III ล้วนมีฐานสูงจาก 2Q65 ทั้งสิ้น เนื่องจากช่วงดังกล่าว ค่าระวางยังยืนในระดับสูง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ค่าระวางปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าระวางทาง อากาศ (BAI00 -19%QoQ, -49%YoY) ค่าระวางเรือเทกอง (BADI -24%QoQ, - 49%YoY) และ ค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ (SCFI -3%QoQ, -78%YoY) ส่งผลให้ รายได้ลดลง แต่ยังมี fixed cost อยู่ ในขณะที่ด้านตัวเลขนำเข้า-ส่งออกของไทยเดือน เม.ย. - พ.ค. ปี 2566 อยู่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย แต่สูงกว่า ม.ค. - ก.พ. 2566 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ III logistics เนื่องจาก III มีธุรกิจ ร่วมทุนอย่าง AOTGA ที่อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าไปบริหารสนามบินสุวรรณภูมิอย่าง เต็มตัว และการเข้าจดทะเบียนของ ANI ที่จะช่วยหนุนผลประกอบการของ III ได้ในระยะ ยาว
กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย (+QoQ / -YoY) คาดการดำเนินงานงวด 2Q66 ของ ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ ที่ฝ่ายวิจัยศึกษารวม 15 แห่ง จะมีกำไรปกติเพิ่มขึ้น QoQ จากการโอนกรรมสิทธิ์ของ Backlog สิ้น 1Q66 ที่มีอยู่ราว 2 แสนล้านบาท (ของ 15 บริษัท) และมีกำหนดรับรู้รายได้ 9M66 ราว 1.1 แสนหมื่นล้านบาท (รวม JV) เป็น กลุ่มแนวราบ 5.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้รายได้ในไตรมาสถัดไป บวกกับ ยอดขาย 2Q66 ที่บางส่วนแปลงเป็นยอดโอนฯตลอดจนมีการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ อย่างไรก็ดีหากเทียบกับ YoY คาดกำไรปกติอ่อนตัวลง ตามการโอนที่ลดลงเป็นหลัก ส่วนหนึ่งจากการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ที่มีช่วงเวลาแตกต่างกัน หากพิจารณาการ ดำเนินงานรายบริษัท พบว่ามีการเติบโตแตกต่างกันไป เบื้องต้นคาด SPALI และ LH เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มฯ คือกำไรเพิ่มขึ้น QoQ แต่ลดลง YoY โดย SPALI จะฟื้น ตัวสูงจากฐานกำไรต่ำ 1Q66 และมีการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ 1 โครงการ ส่วน LH แม้ กำไรจะดีขึ้น QoQ แต่ในอัตราปานกลาง และกำไรยังอยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกัน AP จะ เพิ่ม QoQ (ทรงตัว YoY) สำหรับ LPN คาดกำไรลดลง YoY และ QoQ เนื่องจากการ ขาดหายไปของการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ สวนทางกับ SIRI, ORI, SC และ QH ที่ประเมิน กำไรเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY โดย ORI ได้อานิสงค์จากการโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโด ฯ ใหม่หลายโครงการ ขณะที่ SIRI, SC และ QH จากการรับรู้รายได้ต่อเนื่องของ Backlog แนวราบ รวมถึงการขายโอนฯ บ้านระดับบนที่เพิ่มขึ้นของ SIRI และ SC ส่วน ANAN คาดยังมีผลขาดทุน เนื่องจากถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายขายบริหารและดอกเบี้ย จ่ายที่สูง
คงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ เลือกหุ้นเด่นที่มีพื้นฐานดี, แนวโน้มกำไรปกติ ทำ New High ต่อเนื่องในปีนี้ และปันผลจูงใจ โดยเรียงลำดับดังนี้ คือ SIRI (FV@B2.32) มีความโดดเด่นในเรื่องผลประกอบการ 2Q66 ที่จะเติบโต YoY และ QoQ ทั้งในเชิงกำไร ปกติและกำไรสุทธิ รวมถึงแนวโน้ม 2H66 จะดีกว่า 1H66 และประมาณการกำไรปกติปี นี้มีโอกาสเปิด Upside ตลอดจนคาดปันผลระหว่างกาล 1H66 ที่สูงเฉลี่ย 4% ตาม ด้วย ORI (FV@B13.15) และ SC (FV@B5.10) คาดปันผล 1H66 เฉลี่ยอย่างน้อย 2% ขณะที่แผนเปิดโครงการใหม่เชิงรุกจะหนุนต่อแนวโน้ม 2H66 ส่วน AP (FV@B15.50) แม้ ไม่มีปันผลระหว่างกาล (นโยบายจ่ายปีละ 1 ครั้ง) แต่ยังน่าสนใจจากทิศทางกำไรจะไต่ ระดับเป็นขั้นบันไดในทุกไตรมาสของปีนี้ และเติบโตดี YoY / QoQ ใน 3Q-4Q66 รวมถึง ปันผลสูงกว่า 6% ต่อป
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities