ในระยะสั้นประเมินว่า SET Index ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันของปัจจัยทางการเมือง ซึ่งจะมีการเปิดสมัยการประชุมรัฐสภา 3 ก.ค.66 ตามด้วยการโหวตเลือก ประธานสภาผู้แทนราษฎร์ และ นายกรัฐมนตรีในลำดับต่อไป ซึ่งประเมิน สถานการณ์จนถึงปัจจุบันยังเห็นโอกาสที่จะพลิกผันได้อีกมาก ถือเป็นความเสี่ยง ประการสำคัญต่อตลาดฯ แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัย ASPS ได้ประเมินมูลค่าทาง พื้นฐานของตลาดหุ้นบ้านเรา โดยใช้สมมุติฐานที่รัดกุมขึ้น กล่าวคือ กำหนด Market Earning Yield Gap 4%, Bond Yield 1 ปี (เท่ากับอัตราดอกเบี้ย นโยบาย) 2.25% และ EPS ปี 2566 ที่ 91.80 บาท (Consensus 94.4บาท) ให้ ค่า SET Index ที่ 1480 จุด ซึ่งที่บริเวณดังกล่าว หรือต่ำกว่านั้น เราเห็นว่าเป็น โอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวจะทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ต
ระยะสั้นเชื่อว่าความผันผวนของ SET Index ยังมีอยู่มาก จากแรงกดดันเรื่อง การเมือง และการครบกำหนดของ Future เดือน มิ.ย. คาด SET Index มีแนวรับ ที่ 1480 จุด แนวต้าน 1500 จุด หุ้น Top Pick เลือก BEM, PLANB และ PTTEP
การเมืองไทยยังติดขัด อาจอัด SET น่วมในช่วงสั้น
ความคืบหน้าทางการเมืองไทยที่มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2566 ในวันที่ 3 ก.ค. นี้ และคาดว่าจะเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 4 ก.ค. 66 ซึ่ง เหลือระยะเวลาอีกราว 1 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ระหว่างทางมีประเด็นที่เข้ามาเพิ่มความไม่ แน่นอนทางการเมืองในบ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลยังมีอีกหลาย อุปสรรคที่จะต้องผ่านด่าน อาทิ
• ปมพรรคก้าวไกลชูนโยบายหาเสียงแก้ ยกเลิก ม.112 โดยศาลรัฐธรรมนูญ สอบถามไปยังอัยการสูงสุด ว่าพิจารณารับหรือไม่รับรับคำร้อง กรณีมีผู้ ร้องว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 หรือไม่ โดยขอให้แจ้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน
• เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. อาจไม่เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาล โดยวานนี้นาย เสรี สุวรรณภานนท์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ส.ว. ได้ออกมาเผยต่อสื่อว่า เสียง ส.ว. ส่วนใหญ่ไม่ สนับสนุน Candidate นายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล
• คุณสมบัติและความเหมาะสมตามรัฐธรรมนูญของว่าที่นายกฯ ต้องใช้เวลา ในการตรวจสอบ อาทิ คดีการถือหุ้นสื่อ ITV ของคุณพิธา ซึ่งทาง กกต. อยู่ ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและจะเรียกให้เข้าไปชี้แจงในเร็ววันนี้
• ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ได้ข้อยุติซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Indicator ที่จะเป็นการบ่งบอกถึงตำแหน่งนายกฯ โดนในวันนี้ (27 มิ.ย.) พรรคเพื่อไทย จะมีหารือประเด็นดังกล่าวภายในพรรค และคาดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างเป็น ทางการในวันพรุ่งนี้ (28 มิ.ย.) ก่อนที่จะนำไปเสนอในที่ประชุม 8 พรรคร่วม ใน วันที่ 29 มิ.ย.
ภาพสถานการณ์การเมืองไทยที่ดูไม่ค่อยราบรื่น เป็นปัจจัยที่เข้ามากดดันตลาดหุ้น ไทยในช่วงนี้ โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า SET Index อยู่ในช่วงค้าหาฐานภายใต้แนวต้าน 1500 จุด โดยแนวรับแรก 1480 จุดหากหลุดแนวรับถัดไป 1450 จุด อีกทั้งความเสี่ยง ทางการเมืองยังเป็นปัจจัยที่อาจเข้ามากดดันเงินบาทให้อยู่ในโซนอ่อนค่า และลด แรงจูงใจให้ต่างชาตินำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในบ้านเราได้
สรุป ความไม่แน่นอนการเมืองไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยในช่วง นี้ อีกทั้งยังเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เงินบาทให้อยู่ในโซนอ่อนค่า จนลดแรงจูงใจให้ ต่างชาตินำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในบ้านเราได้
Target SET ยังมี Upside ถือเป็นโอกาสสะสม
ตั้งแต่ต้นปี EPS66F Bloomberg Consensus อยู่ราว 106 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกและภายในที่ไม่สดใส ทำให้มีการทยอยปรับประมาณการลง จนล่าสุด อยู่ที่ระดับ 94.4 บาทต่อหุ้น ขณะที่ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงประมาณการเดิมที่ระดับ 91.8 บาทต่อหุ้น
ซึ่งหากอิง Market Earning Yield Gap ระดับ 4.0% และนำ EPS ของฝ่ายวิจัยฯ และ Consensus มาคิดเป็นดัชนีเป้าหมาย จะได้ 4 สมมุติฐาน ดังนี
• EPS ASP 91.80 + Policy Rate 2.00%(ระดับปัจจุบัน) ได้ Target SET 1542 จุด
• EPS ASP 91.80 + Policy Rate 2.25%(ขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง) ได้ Target SET 1480จุด (โซนแนวรับทางพื้นฐาน)
• EPS Consensus 94.40 + Policy Rate 2.00%(ระดับปัจจุบัน) ได้ Target SET 1586 จุด
• EPS Consensus 94.40 + Policy Rate 2.25%(ขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง) ได้ Target SET 1522 จุด (โซนแนวรับทางพื้นฐาน)
ขณะที่หากพิจารณาเฉพาะ EPS ของฝ่ายวิจัยฯที่ระดับ 91.80 บาท/หุ้น อิงระดับ Market Earning Yield Gap4.0% Target SET จะอยู่ระดับ 1542 จุด ซึ่งหาก กนง. มีการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งได้ Target SET 1480 จุด (โซนแนวรับทางพื้นฐาน) อย่างไรก็ ตามหากต้องการดัชนีเป้าหมายระดับเดิมที่ 1542 จุด EPS จะต้องเพิ่มขึ้น 4.4% ดัง
สรุป ปัจจัยกดดัน SET Index มีทั้งภายนอกและใน ทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี – 11% ขณะที่ระดับดัชนีปัจจุบัน 1485 จุด ถือเป็นจุดรับสำคัญ เนื่องจาก Target SETอยู่ระดับ 1542 จุด(มี Upside) และหาก กนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง จะทำให้ Target SET อยู่ระดับ 1480 จุด(แนวรับทางพื้นฐาน)
หาหุ้นไทยพื้นฐานดี หลบการถูก Margin Call
ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีความผันผวนและมูลค่าซื้อขายเบาบางมาก โดยเดือน มิ.ย. 66 (mtd) เหลือ 4.4 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่ามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยทั้งปี 2566 ที่ 5.7 หมื่นล้าน บาท ต่ำกว่าทั้งปี 2565 ที่ 7.1 หมื่นล้านบาท และทั้งปี 2564 ที่ 8.8 หมื่นล้านบาท
ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการศึกษาจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า เวลาตลาดหุ้นมีมูลค่าซื้อ ขายเบาบาง มักจะ Underperform เสมอ อาทิ SET Index เวลามูลค่าซื้อขายต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท มักจะให้ผลตอบแทยเฉลี่ยต่อวัน -0.06% ตรงข้ามกับเวลามูลค่าซื้อ ขายสูงเกิน 1 แสนล้านบาทต่อวัน หุ้นมักปรับตัวขึ้นได้ดีเฉลี่ย +0.08% ต่อวัน โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่บวกเฉลี่ย +0.24% ต่อวัน
อีกทั้งในช่วงนี้ยังเห็นหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทลงลึกเกิน -2% ย้ำๆ ติดต่อกันหลาย วัน ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าความผันผวนดังกล่าวส่วนหนึ่งเกิดจากการถูกเรียก หลักประกันเพิ่ม (Margin Call) และการบังคับขาย (Force Sell) ในช่วงที่สภาพคล่อง เบาบางจึงลงลึกมากกว่าปกต
ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงทำการคัดกรองหาหุ้นไทยพื้นฐานดี ราคาย่อตัวลงมาจนน่าสะสม อีกทั้งยังหลบการถูก Margin Call ได้ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
1. เป็นที่มีสัดส่วนการนำหุ้นมาวางเป็นหลักประกันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นที่ นำมาวางเป็นหลักประกันทั้งหมดในตลาดที่ 1.62% (ข้อมูลสิ้นเดือน พ.ค. 66)
2. เป็นหุ้นที่ย่อตัวลงมาลึก (Return ytd
3. เป็นหุ้นพื้นฐานดี มี Upside > 10%
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities