แม้ในปัจจุบันยังไม่เห็นความต่อเนื่องของ Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ แต่ เราก็ยังเชื่อว่ามีเหตุผลที่จะทำให้Fund Flow ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย เริ่ม จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามการเปิดประเทศ สวนทางกับประเทศ พัฒนาแล้วที่มีความเสี่ยง Recession ต่อมาเป็นเรื่องของ Valuation ซึ่งหากมอง ในมิติของ Market Earning Yield Gap แล้วพบว่ายังกว้างถึง 4% เทียบกับตลาด หุ้นสหรัฐ-ยุโรป รวมถึงในกลุ่ม TIP ที่กว้างไม่ถึง 2% ขณะที่ในมุมของ EPS Growth ปี 2566 ที่สูงกว่า 12% ก็ถือเป็นอัตราการเติบโตที่โดดเด่น นอกจากนี้การ ที่บ้านเราอยู่ในช่วงของการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งโดยธรรมชาติมักมีความคาดหวังเชิง บวกต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น เราเห็นว่าด้วย สภาพแวดล้อมดังกล่าวน่าจะหนุนให้Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่ไม่มีอะไรใหม่ ขณะที่ตลาดฯ ก็ยังรอการกลับมาของ Fund Flow สถานการณ์ดังกล่าว น่จะทำให้ SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ช่วง 1580 – 1600 จุด Top Pick เลือก BGRIM, JMT และ KTB
เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ความหวังเศรษฐกิจไทยเติบโต
ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง หลังการเปิดประเทศตั้งแต่ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา สะท้อนจากตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจที่รายงานออกมาล่าสุด ดังนี้
GDP จีน 1Q66 ขยายตัว 4.5%YoY และ 2.2%QoQ สูงกว่าตลาดคาดที่ 4.0%YoY และ 2.0%QoQ ตามลำดับ รวมถึงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ 2.9%YoY และ 0.0%QoQ
ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมี.ค. ขยายตัว 10.6%YoY สูงกว่าตลาด คาดที่ 7.4%YoY และดีกว่าเดือนก่อนที่ 3.5%YoY อีกทั้งยังเป็นระดับสูงสุด นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2021
การผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนมี.ค. ขยายตัว 3.9%YoY ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 2.4%YoY
อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) เดือนมี.ค. อยู่ที่ 5.3% ซึ่งต่ำ กว่าตลาดคาดที่ 5.5% และลดลงจากเดือนก่อนที่ 5.6%
นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อจีนที่อยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 3% จึงเชื่อว่าจะเป็น ปัจจัยหนุนให้รัฐบาลจีนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทั้งนโยบายการเงินและการคลังได้ อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เป็นแรงหนุนให้ Demand เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็น อานิสงส์เชิงบวกต่อบ้านเรา เฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีน ซึ่งมี มูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ปี 2562 รวมถึงภาคการท่องเที่ยว โดย คาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้จำนวนนักท่องเที่ยว ต่างชาติในปี2566 เป็นตามเป้าหมายของ ททท. ตั้งไว้ที่ 30 ล้านคน ขณะที่ข้อมูลล่าสุด้งแต่ 1 ม.ค. – 16 เม.ย. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมแล้วราว 7.5 ล้านคน สร้างรายได้ ไปแล้วกว่า 2.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา 5 ประเทศที่นักท่องเที่ยวเดิน ทางเข้าไทยมากที่สุดได้แก่ มาเลเซีย (80,239 คน) รองลงมาได้แก่ จีน (77,178 คน) อินเดีย (31,997 คน) รัสเซีย (28,873 คน) และเกาหลีใต้ (21,089 คน) ตามลำดับ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมและรายชื่อหุ้นเด่นที่คาดการณ์ว่าจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจ จีนฟื้นตัว
สรุป เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว เป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของ Demand ซึ่งจะเป็น อานิสงส์เชิงบวกต่อบ้านเรา เฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของไทย
ยังคาดหวัง FUND FLOW เข้ามาเพิ่มเติมในตลาดหุ้นไทย
แม้ในปัจจุบันยังไม่เห็นความต่อเนื่องของ Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติแต่ก็เริ่ม เห็นแรงขายที่ชะลอลง และมีการสลับมาซื้อสุทธิบ้างในบางวัน
ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่ามีเหตุผลที่จะทำให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย เริ่ม จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามการเปิดประเทศ สวนทางกับประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีความเสี่ยง Recession ต่อมาเป็นเรื่องของ Valuation ซึ่งหากมองในมิติของ Market Earning Yield Gap แล้วพบว่ายังกว้างถึง 4% เทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงในกลุ่ม TIP ที่กว้างไม่ถึง 2%
ขณะที่ในมุมของ EPS Growth ปี 2566 ที่สูงกว่า 12% ก็ถือเป็นอัตราการเติบโตที่โดด เด่น กว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาค นอกจากนี้การที่บ้านเราอยู่ในช่วงของการเลือกตั้ง ทั่วไป ซึ่งโดยธรรมชาติมักมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ กำลังจะเกิดขึ้น
สภาพแวดล้อมดังกล่าวน่าจะหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ส่วนวันนี้ ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่ไม่มีอะไรใหม่ ขณะที่ตลาดฯ ก็ยังรอการกลับมาของ Fund Flow สถานการณ์ดังกล่าว น่จะทำให้ SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วง 1580 – 1600 จุด Top Pick เลือก BGRIM, JMT และ KTB
OUTLOOK ผลประกอบการ 1Q66ใครรอด – ใครร่วง
ฝ่ายวิจัยฯ จะมานำเสนอ OUTLOOK ผลประกอบการ 1Q66 รายอุตสาหกรรม โดยแบ่ง เนื้อหาของแต่ละอุตสาหกรรม ตามการจัดตารางรายวัน ดังนี้
จันทร์10 เม.ย.66 กลุ่ม BANK + TOURISM
อังคาร 11 เม.ย.66 กลุ่ม ICT+ COMM
พุธ 12 เม.ย.66 กลุ่ม CONS + CONMAT + PROP
จันทร์17 เม.ย.66 กลุ่ม โรงไฟฟ้า
อังคาร 18 เม.ย.66 กลุ่ม AGRI + ETRON + FIN
พุธ 19 เม.ย.66 PETRO + ENERG
โดยวันนี้เป็นคิวของกลุ่ม PETRO + ENERG โดยมีรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้
กลุ่มปิโตรเลียม : แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 1Q66 ปรับตัวลดลงจากงวด 4Q65 ถูกกดดันหลังจากราคาน้ำมันเฉลี่ยในงวด 1Q66 ที่ลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 80.5 เหรียญ ฯ จาก 84.8 เหรียญฯในงวดก่อนหน้าสำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบ จึงทำให้คาดการณ์ราคาขายเฉลี่ย liquid ของ PTTEP ลดลงจากงวดก่อนหน้า แต่ราคาขายก๊าซฯยังไม่เห็นการ ปรับตัวลง เพราะปกติแล้วราคาก๊าซจะมี lag time จากราคาน้ำมันราว 3-6 เดือน ซึ่งคาด จะเริ่มเห็นการปรับตัวลงของราคาก๊าซฯในช่วง 2Q66-3Q66 นอกจากนี้ในส่วนของ PTTEP พบว่ายังมีปัจจัยกดดันกำไรปกติงวด 1Q66 จากปริมาณขายที่คาดจะปรับตัวลดลง 6.2%qoq มาอยู่ราว 4.69 แสนบาร์เรลต่อวัน จากเรือรับก๊าซของโครงการ Saba-H มี ปัญหาราว 1 เดือน ทำให้ปริมาณขายหายไป อีกทั้งโครงการแอลจีเลีย เอชบีอาร์ ขาย น้ำมันลงเหลือ 1-2 โหลด จากงวดก่อนหน้า 3 โหลด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามคาดกำไร สุทธิงวด 1Q66 ของ PTTEP จะอยู่ราว 2.08 หมื่นล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.7%qoq เนื่องจากคาดรายการพิเศษสุทธิแล้วจะพลิกกลับมาเป็นรายได้รวมราว 258 ล้านบาท เทียบกับงวดก่อนหน้าที่สุทธิเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษสูงถึง 6.8 พันล้านบาท (ตั้งด้อยค่า โมซัมบิกที่ 6.3 พันล้านบาท และค่าใช้จ่ายพิเศษเพื่อระงับการดำเนินคดีแบบกลุ่ม 4.4 พันล้านบาท จากกรณีลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในอินโดนีเซียได้ยื่นฟ้อง เป็นต้น)
กลุ่มโรงกลั่น : สำหรับทิศทางกำไรปกติของกลุ่มโรงกลั่น ในงวด 1Q66 คาดจะปรับตัวดี ขึ้น QoQ ซึ่งหากอิงจากค่าการกลั่นเฉลี่ยงวด 1Q66 ที่ 8.2 เหรียญฯต่อบาร์เรล พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวด 4Q65 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 6.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดยได้รับปัจจัย หนุนหลักจากการปรับตัวขึ้นของ spread ผลิตภัณฑ์ ULG95 ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.6 จาก 9.4 เหรียญฯต่อบาร์เรล ถึงแม้ spread น้ำมัน jet จะลลดงมาอยู่ที่ 20.2 จาก 24.5 เหรียญฯ อีกทั้ง spread ดีเซลยังประคองตัวใกล้เคียงกับงวด 4Q65 ที่ราว 20-21 เหรียญ ฯ และหากพิจารณากำไรสุทธิซึ่งรวมกำไรขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ในงวดนี้คาดราคาปิด น้ำมันดิบดูไบจะอยู่ราว 77-79 เหรียญ โดยในเดือน ธ.ค. ปิดเฉลี่ยที่ 77 เหรียญฯ ดังนั้น อาจไม่มี stock loss สูงเท่าในงวด 4Q65 ที่ขาดทุนสต๊อกถึง 14 เหรียญฯ
โดยสรุปในงวด 1Q66 เฉพาะกลุ่มโรงกลั่นน่าจะมีผลการดำนินงานที่ดีขึ้นทั้งกำไรปกติและ กำไรสุทธิจากงวดก่อนหน้า อีกทั้งในส่วนของ PTTGC และ IRPC ในงวด 1Q66 โรงกลั่น กลับมาเดินเครื่องปกติ หลังจาก 4Q65 มี major turnaround
กลุ่มปิโตรเคมี: คาด 1Q66 กำไรจากการดำเนินงานปกติเบื้องต้น หากพิจาณราจาก indicator spread ของผลิตภัณฑ์ทั้งสายอะโรเมติกส์ และโอเลฟินส์ พบว่าฟื้นตัวจากงวด 4Q65 เฉลี่ยประมาณ 5-10%qoq แต่ถือว่ายังไม่ได้ดีมาก ผลการดำเนินปกติน่าจะอยู่ เหนือ breakeven มาบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมถือว่าดีขึ้นกว่า 4Q65
ดังนั้นหากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่นที่มีธุรกิจปิโตรเคมี ด้วย เช่น TOP, PTTGC, IRPC น่าจะเห็นกำไรที่ฟื้นตัวดีขึ้นกว่างวด 4Q65
แต่ในส่วนของกำไรสุทธินั้น ยังมีรายการพิเศษที่อาจมากระทบได้ หากพิจารณาเฉพาะส ต๊อกน้ำมัน คาด 1Q65 ขาดทุนสต๊อกน้ำมันจะลดลงอย่างมีนัยฯ และมีโอกาสพลิกเป็น กำไรสต๊อกได้เด็กน้อย แต่ทั้งนี้ยังมีรายการพิเศษอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
กลุ่มถ่านหิน : แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 1Q66 ของกลุ่มถ่านหินโดย ภาพรวมน่าจะปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาถ่านหินที่ปรับตัวลดลงมาอย่างมีนัยฯ โดย ค่าเฉลี่ยราคาถ่านหินอิงดัชนี BJI งวด 1Q66 อยู่เพียง 251.6 เหรียญฯต่อตัน ลดลงจาก ค่าเฉลี่ยในงวด 4Q65 ที่ 387.9 เหรียญฯต่อตัน หรือลดลง 35%qoq ซึ่งจะส่งผลให้ราคา ขายถ่านหินเฉลี่ยในงวด 1Q66 ลดลง นอกจากนี้น่าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องของ ปริมาณขายถ่านหินด้วย เพราะในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปี จะเป็นช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนใน อินโดนีเซีย ซึ่งโดยปกติแล้วปริมาณขายในช่วง ไตรมาส 1-2 ต่ำกว่าช่วงไตรมาส 3-4 ของ ทุกปี
นอกจากนี้หากรวมธุรกิจก๊าซฯธรรมชาติในสหรัฐ สำหรับ BANPU ก็อาจเห็นผลการ ดำเนินงานที่ลดลง QoQ เนื่องจากราคาก๊าซ henry hub ในสหรัฐเฉลี่ยในงวด 1Q66 ลดลงมาอยู่เพียง 2.6 เหรียญฯต่อล้านบีทียู่ จาก 5.4 เหรียญฯ ในงวด 4Q65 และราคา ปัจจุบันล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ 1.87 เหรียญฯ ซึ่งเป็นราคาแถว breakeven
แต่อย่างไรหากพิจารณาเฉพาะผลการดำเนินงานสุทธิของ BANPU ในงวด 1Q66 คาดจะ พลิกเป็นกำไรได้ QoQ ภายใต้สมมติฐานไม่มีรายการพิเศษที่มีนัยฯเช่นในงวด 4Q65 ที่ ผ่านมาที่ม การตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์จำนวน 1.36 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นสำรองค่าเผื่อ ด้อยค่าสำหรับโครงการเหมืองอัลไต นูรส์ (Altai Nuurs) ในประเทศมองโกเลีย เนื่องจาก โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสาธารณะที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงการ และเปิดดำเนิน เชิงพาณิชย์ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมถึงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น่าสูง เท่ากับงวด 4Q65 และ hedging ที่น้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities