🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

SET INDEX ทรงเหมือนดี แต่ยังไม่ดี 

เผยแพร่ 11/04/2566 09:57
SETI
-

การปรับตัวขึ้นมาถึง 16.06 จุดของ SET Index วานนี้ อาจมองว่า ทรงเริ่มดี แต่ หากพิจารณาบางแง่มุม เช่นปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่ยังไม่มีปัจจัยขับเคลื่อน หลัก, มูลค่าการซื้อขายข้างเบาบางและราว 1/3 ของ SET Index ที่ปรับขึ้นยังเกิด จากแรงขับเคลี่อนของ DELTA องค์ประกอบดังกล่าวยังแสดงถึงความเปราะบาง ของตลาด และอาจกลับทิศมาเป็นการขายทำกำไรได้ สำหรับวันนี้ประเด็นที่อยู่ใน ความสนใจยังเป็นแนวนโยบายของ Fed หลังจากที่ถูกคาดหมาย Core Inflation อาจสูงกว่า Headline Inflation ซึ่งภายใต้สภาวะดังกล่าว บวกกับโอกาสที่จะเกิด Recession ในอนาคต ทำให้Fed ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกคงดอกเบี้ยระดับสูงให้ นานที่สุด หรือจะเลือกแนวทางในการลดแรงกดดันจาก Recession โดยปรับลด ดอกเบี้ย แต่ที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือ ช่วงเวลาขาขึ้นของดอกเบี้ย จบลงแล้ว

คาดว่าตลาดยังอยู่ในโหมดของการซื้อขายที่เบาบาง ทำให้การเคลื่อนไหวของ SET Index อาจผันผวนได้ง่าย วันนี้ประเมินว่า SET Index น่าจะอยู่ในกรอบ 1580 – 1600 จุด หุ้น Top Pick เลือก CK, CPALL (BK:CPALL) และ CPN

ตลาดรอตัวเลข CPI สหรัฐฯคืนวันพุธนี้ คาดเป็นตัวบ่งชี้ถึงสัญญาณ ต่างๆ ทั้งอัตราดอกเบี้ย และ RECESSION

วานนี้ World Bank ปรับ GDP Growth โลก 2023 ขึ้นจากเดิม +1.7%YoY เป็น +2%YoY ซึ่งสาเหตุหลักๆ คือการกลับมาเปิดประเทศจีน โดยปรับ GDP Growth 2023 จีนขึ้น จากเดิม +4.3%YoY เป็น +5.1%YoY ประเด็นดังกล่าว ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งขึ้นเล็กน้อยราว 0.1%-0.3%

ขณะที่นักลงทุนยังรอตัวเลขเงินเฟ้อที่จะประกาศในวันพุธนี้ เวลา 19.30น.(เวลาประเทศ ไทย) ซึ่งผลสำรวจใน Bloomberg คาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 5.1%YoY ชะลอตัวลง จากเดือนก่อนที่ 6%YoY ทำให้หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ค. 25 Bps. จะทำให้ Real interest rate ติดลบเป็นครั้งแรกตั้งแต่ เม.ย. 2020 อย่างไรก็ตาม หาก พิจารณาตัว Core CPI ทาง Bloomberg คาดอยู่ระดับ + 5.6%YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือน ก่อนที่ + 5.5%YoY ซึ่งสาเหตุหลัก คือ ค่าเช่า เนื่องจากดอกเบี้ยบ้านที่แพงขึ้น แต่ยังมี การจ้างงานอยู่ ดังนั้น คนจึงหันไปเช่าบ้านมากขึ้น หนุนให้ Demand ส่วนนี้ยังมีอยู่ ซึ่ง อาจเป็นอีกปัจจัยนึงที่ทำให้ Fed อาจคงดอกเบี้ยนานกว่าคาด

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคาดว่า Fed จะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยเกิน 5.25% หากพิจารณาจาก Fed watch tool จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยจะสิ้นสุดขาขึ้นในช่วง 1H23 ที่ระดับ 5.25% เท่านั้น ขณะที่ระยะถัดไป ดอกเบี้ยจะทยอยปรับตัวลงเรื่อยๆ จนถึงช่วงปลายปี 2024 ที่ ตลาดคาดอยู่ระดับ 3.25% เท่านั้น

สรุป นักลงทุนรอตัวเลข CPI สหรัฐฯ วันพุธนี้ว่าจะเป็นไปตามตลาดคาดหรือไม่ อย่างไรก็ตามนักลงทุน คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยสิ้นสุดในช่วง 1H23 และทยอยปรับ อัตราดอกเบี้ยลงในช่วงเวลาถัดไป ดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯในช่วงที่เหลือของปีอย่างไรก็ ตามโอกาสการเกิด Recession ยังคงมีในอนาคต จึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่าง ใกล้ชิด

OUTLOOK ผลประกอบการ 1Q66ใครรอด – ใครร่วง

ฝ่ายวิจัยฯ จะมานำเสนอ OUTLOOK ผลประกอบการ 1Q66 รายอุตสาหกรรม โดยแบ่ง เนื้อหาของแต่ละอุตสาหกรรม ตามการจัดตารางรายวัน ดังนี้

• จันทร์10 เม.ย.66 กลุ่ม BANK + TOURISM

• อังคาร 11 เม.ย.66 กลุ่ม ICT+ COMM

• พุธ 12 เม.ย.66 กลุ่ม CONS + CONMAT + PROP

• จันทร์17 เม.ย.66 กลุ่ม โรงไฟฟ้า

• อังคาร 18 เม.ย.66 กลุ่ม AGRI + FOOD + FIN

• พุธ 19 เม.ย.66 PETRO + ENERG

โดยวันนี้เป็นคิวของกลุ่ม ICT + COMM โดยมีรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้

กลุ่ม ICT ให้น้ำหนักเท่าตลาด (-QoQ / +YoY) คาดในงวด 1Q66 หุ้นในกลุ่ม ICT ที่ ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ ADVANC, TRUE, INTUCH, และ JMART ซึ่งมีมูลค่าตลาด (Market cap.) รวมกันราว 75% ของมูลค่าตลาดรวมของหุ้นในกลุ่ม ICT ทั้งหมด จะมีกำไรปกติ ลดลง QoQ แต่จะเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย YoY

โดยกำไรปกติที่ลดลง QoQ เป็นเพราะคาดว่าหุ้นทุกตัวที่เราศึกษาจะมีการดำเนินงานที่ ชะลอตัวลงจากผลของฤดูกาล เพราะช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่มีการใช้งานโทรศัพท์มือถือ สูงกว่าปกติ และมียอดขายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือที่สูงกว่าไตรมาสอื่นๆ หลังจากการ เปิดตัวของไอโฟนรุ่นใหม่ (ใน 4Q65 ได้ประโยชน์อย่างเต็มไตรมาสจากไอโฟน 14 ที่ เปิดตัวตั้งแต่ช่วงกลาง ก.ย.65) นอกจากนี้คาดว่าผลประกอบการของ TRUE จะยังมี แนวโน้มขาดทุน เนื่องจากคาดจะมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงขึ้น จากค่าใช้จ่าย ในการควบรวมบริษัท ทั้งนี้หากเทียบ YoY ภาพรวมกำไรปกติของหุ้นที่เราศึกษาจะ เพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย ตามผลประกอบการของกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นตัว หลักผลักดันกำไรของกลุ่ม ทั้งนี้หุ้นที่คาดจะมีกำไรปกติYoY ใน 1Q66 ดีกว่ากลุ่ม คือ JMART ที่จะได้แรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตจากทุกๆธุรกิจ โดยเฉพาะจาก Jaymart mobile ที่ได้อานิสงค์จาก “ช้อปดีมีคืน” ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงกว่าเดิม และธุรกิจ บริการ/ติดตามหนี้ (JMT) ที่มีแนวโน้มจะเรียกเก็บหนี้ได้ดีขึ้น และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ (ค่าประกันภัยโควิด) เหมือนใน 1Q65 อีก

เรายังคงคำแนะนำการลงทุนในกลุ่ม ICT “เท่ากับตลาด” เนื่องจากมองการเติบโต ของกำไรในปี 2566 จะอยู่ในระดับ ใกล้เคียงกับการเติบโตของตลาด โดยเลือก ADVANC เป็นหุ้น TOP PICK เนื่องจากเป็นหุ้นที่ยังมีกำไรแข็งแกร่ง และให้ปันผลใน อัตราจูงใจ

กลุ่ม COMM ให้น้ำหนักมากว่าตลาด (-QoQ / +YoY) คาดในงวด 1Q66 หุ้นในกลุ่ม พาณิชย์ ที่ฝ่ายวิจัยศึกษา คือ CRC, COM7, CPALL, MAKRO และ HMPRO จะมีกำไร ปกติลดลง QoQ แต่ยังโตได้ดี YoY

ทั้งนี้กำไรปกติที่ลดลง QoQ เกิดจากผลของฤดูกาล เพราะโดยปกติแล้วในไตรมาส 4 ของ ทุกปี หุ้นในกลุ่มพาณิชย์มักจะมียอดขายสินค้าและบริการจะสูงกว่าในไตรมาสอื่นๆ เนื่องจากในช่วงส่งท้ายปี ผู้บริโภคมักมีการจับจ่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคมากกว่าปกติ โดยเราประเมินว่าหุ้นเกือบทุกบริษัทที่เราศึกษาจะมีกำไรที่ชะลอลง ยกเว้น CPALL ที่จะ มีกำไรเติบโตได้ QoQ เมื่อเทียบกับงวด 4Q65 ที่มีฐานกำไรต่ำกว่าปกติ จากผลกระทบของค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน และดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น และหากเทียบ YoY กำไรโดยรวมของกลุ่มในงวด 1Q66 จะโตได้ดี เมื่อเทียบกับงวด 1Q65 ที่ยังได้รับผลกระทบจากโควิด 19 โดยเราเชื่อว่า CRC น่าจะมีกำไร YoY ที่โตโดด เด่นสุด เนื่องจากใน 1Q66 ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติแล้ว รวมทั้งการจับจ่ายใน ห้างสรรพสินค้า เมื่อเทียบกับ 1Q65 ที่ยังมีการระบาดของโควิด 19 นอกจากนี้ในงวด 1Q65 ทั้งไทยและต่างประเทศยังไม่ได้มีการเปิดเมืองเต็มที่ ทำให้ยอดการจับจ่ายยัง จำกัด จากกำลังซื้อที่ยังต่ำกว่าใน 1Q66

ทั้งนี้เราคงคำแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ “มากกว่าตลาด” เนื่องจาก คาดหวังภาพรวมกำไรกลุ่มในปี 2566 ที่จะโตได้สูงถึง 39% YoY ดีกว่าตลาดมาก โดยเลือก CPALL และ CRC เป็นหุ้น TOP PICKS ของกลุ่ม

แนะนำหุ้นหนี้ต่ำ + MARGIN สูง มีเกราะป้องกันดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง

ปัจจุบันภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยปี 2562 เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 6.1% (ปีก่อนๆ ไม่เกิน 2%) กดดันให้บริษัทจดทะเบียนต้องแบกรับต้นทุนทางธุรกิจที่สูงตามขึ้นไปด้วย

สะท้อนจากข้อมูลอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีต่อรายได้ (EBIT Margin) ของ SET (ไม่รวมกลุ่ม BANK กับ FIN) พบว่า ปี 2022 มีสัดส่วนที่ลดลงมาเหลือ 8.7% ต่ำ กว่าระดับปกติที่มักจะสูงกว่า 10% (ยังสูงกว่าปี 2020 ที่เผชิญวิกฤต Covid ที่ 6.3%) แต่หากดูเฉพาะงวด 4Q22 พบว่า EBIT Margin ลดลงมาเหลือเพียง 5.9% เท่านั้น

ขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนอาจต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยปี 2022 ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วง 0.5% ถึง 1.25% แต่ปี 2023 กนง. ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.75% ในช่วงแรกของปีขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio (ไม่นับรวมกลุ่ม BANK และ FIN) ในปี 2022 ที่เท่ากับ 1.62 เท่า ซึ่งถือว่าสูงกว่าปีอื่นๆ อีก

ภายใต้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าปีก่อนๆ พร้อมกับแรงกดดันเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับสูง ทั้งจาก ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการหลายรายยังอั้นต้นทุนไว้อยู่ ถือเป็นความท้า ทายต่อการบริหารต้นทุนทางธุรกิจและการเงินของธุรกิจ และเป็นควรามเสี่ยงต่อกำไร บริษัทจดทะเบียนรวมถึงตลาดหุ้น

ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดเลือกกลุ่มหุ้นที่มีเกราะป้องกัน Stagflation คือ มีค่าเฉลี่ย Net Gearing อยู่ในระดับต่ำ พร้อมกับ EBIT Margin สูงกว่าตลาด ได้ผลลัพธ์คือ กลุ่ม ENERG, CONMAT, MEDIA, HELTH, PROP เป็นต้น

นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ยังคัดหุ้นพื้นฐานที่มีเกราะป้องกัน Stagflation (EBIT Margin สูง D/E ต่ำ) น่าสะสม

ก่อนหยุดสงกรานต์ มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยมักค่อยๆ เบาบางลง

วานนี้ SET Index +16 จุด แต่แรงผลักดัน 1 ใน 3 มาจากหุ้น DELTA ที่บวก 5.9% ที่ สำคัญคือมูลค่าซื้อขายเบาบางมากเหลือเพียง 3.6 หมื่นล้านบาท (ต่ำสุดเป็นอันดับ 3 ของปีนี้)

ฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษาข้อมูลในอดีตช่วงวันที่ 10 – 12 เม.ย. ย้อนหลัง 5 ปี พบว่า มูลค่าซื้อขายจะลดลงเฉลี่ยราว 19.6% เมื่อเทียบกับช่วงต้นเดือน เม.ย. แต่มูลค่าซื้อขาย จะกลับมาสูงขึ้นเฉลี่ยราว 25% หรือกลับมาอยู่ในระดับปกติช่วงหลังสงกรานต์

และหากลงลึกข้อมูลเป็นรายวัน พบว่า ยิ่งใกล้วันหยุดสงกรานต์มากเท่าไหร่ มูลค่าซื้อ ขายยิ่งเบาบางลงตามไปด้วย

สรุปมูลค่าซื้อขายมีโอกาสเบาบางลงช่วงก่อนสงกรานต์ ส่งผลให้ SET มีโอกาส เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ 1580 – 1600 จุด กลยุทธ์เลือกหุ้นผันผวนต่ำได้แรงหนุนธี มเลือกตั้ง อย่าง CPN CPALL CK เป็น Top pick ในวันนี

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย