สาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำได้มีการย่อตัวลงในเมื่อวานนี้
1. การร่วงลงของตลาดหุ้นจีน ส่งผลกระทบมาถึงราคาทองคำ และทำให้ราคาทองคำย่อตัวลง
ราคาทองคำปรับตัวลงในเมื่อวานนี้ (6 มี.ค.) หลังจากจีนกำหนดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ราว 5% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 5.5% โดยจีนเป็นประเทศผู้นำเข้าทองคำมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก
แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนลดลงจากเป้าหมายของปีที่ผ่านมาที่ 5.5% และอยู่ที่ระดับต่ำของช่วงคาดการณ์ โดยแหล่งข่าวด้านนโยบายเปิดเผยกับรอยเตอร์ก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจกำหนดเป้าหมาย GDP ที่ระดับสูงถึง 6%
นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงของจีนกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (5 มี.ค.) ว่า จำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับรากฐานการเติบโตอย่างมั่นคงในจีน อุปสงค์ที่ไม่เพียงพอยังคงเป็นปัญหาที่ชัดเจน และความคาดหวังของนักลงทุนเอกชนและภาคธุรกิจก็ยังไม่แน่นอน
ในขณะเดียวกัน ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกคุมเข้มนโยบายการเงินท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม บรรดาเทรดเดอร์ได้เริ่มปรับตัวรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก แต่ก็หวังว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะน้อยกว่าในปีที่แล้ว
ก่อนที่ตลาดหุ้นจีน และ ราคาทองคำ จะมีการฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย โดยได้ปัจจัยหนุนจากข่าวดังต่อไปนี้ครับ
ยูบีเอส กรุ๊ป เอจี ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้และปีหน้า โดยระบุถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดหลังจากการยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเกินคาด
นักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอสคาดการณ์ในวันนี้ (6 มี.ค.) ว่า GDP ของจีนจะขยายตัว 5.4% ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากตัวเลขประมาณการครั้งก่อนที่ 4.9%
การเปิดเศรษฐกิจกำลังดำเนินไปได้ดีกว่าคาด โดยไม่เกิดการแพร่ระบาดระลอกสองของโรคโควิด-19 และแทบไม่มีสัญญาณของภาวะชะงักงันด้านอุปทาน ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยก็กำลังฟื้นตัวขึ้นด้วย
ยูบีเอสระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2567 เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนุนประมาณการตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปีหน้าเป็น 5.2% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 4.8%
ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการสำรวจโดยบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า GDP ของจีนจะอยู่ที่ 5.3% ในปีนี้ และ 5% ในปีหน้า
แต่ตลาดหุ้นจีนก็ยังโดนกดดันอย่างต่อเนื่อง จากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน
ราคาหุ้นอสังหาริมทรัพย์ของจีนร่วงลง หลังรัฐบาลจีนเปิดเผยว่า จะควบคุมการขยายตัวอย่างไม่เป็นระเบียบของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเพิ่มความวิตกให้กับบรรดาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบปัญหาของจีน
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (5 มี.ค.) ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ประจำปีว่า จีนยืนยันที่จะป้องกันการขยายตัวอย่างไม่มีการควบคุมในภาคอสังหาริมทรัพย์และส่งเสริมการพัฒนาอย่างมั่นคง
ดัชนีของ Bloomberg Intelligence ที่ติดตามหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีนร่วงลงเกือบ 1.9% ในเมื่อวานนี้ (6 มี.ค.) ซึ่งเป็นการร่วงลงระหว่างวันมากที่สุดนับตั้งแต่วันอังคารที่แล้ว (28 ก.พ.) โดยที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ราคาหุ้นคันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ ร่วงหนักถึง 6.4% และราคาลองฟอร์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ร่วง 4.8%
"ความเห็นล่าสุดบ่งชี้ให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่จีนจะยังคงควบคุมด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดกับภาคอสังหาริมทรัพย์ และจะไม่อนุญาตให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขยายธุรกิจอย่างไม่เป็นระเบียบและทำลายเสถียรภาพในตลาดการเงิน" เชน เม็ง ผู้อำนวยการของบริษัทชานสัน แอนด์ โคในกรุงปักกิ่งกล่าว
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีเสถียรภาพจะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ในเศรษฐกิจจีนซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15-25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
ในขณะเดียวกัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า 2 ใน 3 ของนักลงทุนจำนวน 404 รายที่ตอบแบบสำรวจล่าสุดของ MLIV Pulse ระบุว่า เงินสดในพอร์ตการลงทุนของพวกเขาจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกสุทธิในปีนี้ มากกว่าที่จะถ่วงผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
บรรดานักลงทุนเลือกที่จะถือเงินสด เนื่องจากวิตกเกี่ยวกับสภาวะทางการเงินและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน, วิตกเกี่ยวกับภาวะตลาดหมี, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลอดจนแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อพอร์ตการลงทุนเหมือนกับในปี 2565
นายไมเคิล วิลสัน หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นสหรัฐของมอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยกับบลูมเบิร์ก ทีวีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนี S&P500 อาจร่วงลงประมาณ 20% เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะอ่อนแอลง
เงินสดดูเหมือนจะเป็นที่หลบภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐสูงพอที่จะเอาชนะพอร์ตหุ้นและพันธบัตรแบบคลาสสิก 60/40 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2544 และแม้แต่บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงก็จ่ายดอกเบี้ยใกล้แตะระดับ 4% แล้วในขณะนี้
ลีโอ เคลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเวอร์เดนซ์ แคปิตอล แอดไวเซอร์ส (Verdence Capital Advisors) กล่าวว่า "เราสนับสนุนนักลงทุนให้ถือเงินสด คุณสามารถจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ขณะที่จะมีความผันผวนอย่างมากในตลาด และมีโอกาสอย่างมากที่จะเงินสดนั้นจะให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าดึงดูดใจ"
ก่อนที่การประกาศตัวเลขสำคัญในเวลา 22:00 เมื่อคืนนี้ ก็ได้กดดันราคาทองคำเช่นเดียวกัน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 1.6% ในเดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 1.8% หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนธ.ค.
รายงานระบุว่า เหตุผลหลักที่ทำให้คำสั่งซื้อภาคโรงงานลดลงคือ การทำสัญญาซื้อเครื่องบินโดยสารโบอิ้งลดลง โดยปกติแล้ว โบอิ้งจะได้รับคำสั่งซื้อใหม่ในช่วงสิ้นปี และลดลงมากในช่วงต้นปี
ตัวเลขดังกล่าวได้ออกมาดีกว่าคาดการณ์เล็กน้อย จึงหนุนดัชนีดอลลาร์ขึ้นได้ไม่มากนัก และกดดันราคาทองคำได้เพียงเล็กน้อย
แต่ตัวเลขที่กดดันราคาทองคำได้จริงๆ คือ การประกาศตัวเลขดัชนี PMI ประจำเดือนกุมภาพันธ์ของแคนาดาจากสถาบัน Ivey ที่ได้ออกมาแย่ครับ
ดัชนี PMI ของแคนาดาดังกล่าว ได้ออกที่ 51.6 แย่กว่าคาดการณ์ที่ 55.9 และแย่กว่าครั้งก่อนที่ตัวเลขออกมาที่ 60.1
ซึ่งได้กดดันสกุลเงินดอลลาร์แคนาดาให้มีการย่อตัวลงในเมื่อคืนนี้ และกดดันราคาทองคำให้มีการย่อตัวลงในเมื่อคืนนี้เช่นเดียวกัน โดยราคาทองคำได้ย่อตัวลงมาที่ระดับ 1845 ในเมื่อคืนนี้
และทั้งหมดนี้ก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ได้ทำให้ราคาทองคำมีการปรับตัวลงในเมื่อวานนี้ครับ