ผลประกอบการ 4Q65 ที่ประกาศออกมา ยังแสดงตัวเลขที่ต่ำกว่าคาดอย่างต่อ เนี่องโดยล่าสุดประกาศออกมาแล้ว 70% ของ Market Cap พบว่ามีกำไรสุทธิ 1.34 แสนล้านบาท ต่ำกว่า Bloomberg Consensus มากถึง 32% ภาวะดังกล่าว จะเป็นตัวที่เปิด Downside ให้กับประมาณการปี 2566 และกดฐาน EPS ปี 2565 ลง ซึ่งจะมีผลทำให้Valuation ของตลาดที่มองผ่านระดับ PER สูงขึ้น อันน่าจะ เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ ตามหลังจากการประกาศกำไรครบ และนักวิเคราะห์ ปรับปรุงประมาณการหลังทำ Analyst Meeting แล้ว ก็น่าจะทำให้เห็น Bottom ของประมาณการกำไร หลังจากนั้น Downside ของ SET Index ก็น่าจะค่อยๆ ถูกปิดลง ส่วนประเด็นอื่น ที่ต้องติดตามยังเป็น ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เฉพาะอย่างยิ่ง รัสเซีย-ยูเครน
SET Indexยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผลประกอบการงวด 4Q65 ที่ออกมาต่ำกว่า คาด และความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ คาด SET Index ปรับฐานอยู่ในกรอบ 1640 – 1660 จุด หุ้น Top Pick เลือก BAM, KTB และ PTTEP
ความกลัวเรื่องดอกเบี้ยลดลง หนุนตลาดหุ้นทรงตัว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานล่าสุดอยู่ที่ 192,000 ราย ลดลงมาจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 195,000 ราย และสวนทางตลาดคาดที่ 200,000 ราย ด้วย ตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัว ส่งผลให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงหรือชะลอตัวได้ช้า ลง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ Fed เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้ตลาดแรงงานสหรัฐยังดูแข็งแกร่ง
แต่ความกลัวเรื่องดอกเบี้ยกลับเริ่มลด ระดับลงมา หลังการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเนื้อหาส่วน ใหญ่เป็นสิ่งที่ตลาดคาด โดยกรรมการ Fed มีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปจนกว่า อัตราเงินสหรัฐจะลดลงอย่างมีนัยฯ และอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานกว่าคาด เพื่อให้เงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ซึ่งการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อการดำเนินนโยบาย การเงินของสหรัฐ เป็นผลให้Fed Watch Tool คาดดอกเบี้ยสหรัฐจะ๔กปรับเพิ่มขึ้น ครั้ง ละ 0.25% ไปสูง 5.5% ในเดือน มิ.ย. 66 หนุนตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้ทรงตัวมากขึ้น โดยใน ฝั่งสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนบวกราว +0.3% ถึง +0.7% ขณะที่ในฝั่งยุโรปปิดตัวราว -0.3% ถึง +0.5%
ส่วนการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่น่าติดตามในคืนนี้ อาทิ ดัชนีราคาด้านการ บริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) ของสหรัฐเดือน ม.ค. 66 โดย Consensus คาดว่า จะอยู่ที่ระดับ +5.0%YoY และ +0.5%MoM ซึ่งหากตัวลข PCE ออกมาต่ำกว่าคาด น่าจะ เป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นต่อไปได้
สรุป ความกลัวเรื่องดอกเบี้ยลดระดับลงมา แม้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐจะยังดูแข็งแกร่ง เพราะนับตั้งแต่การเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ทาง Fed แสดงจุดยืนที่ชัดเจน มากยิ่งขึ้นต่อการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ โดยมีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ต่อไปจนกว่าอัตราเงินสหรัฐจะลดลงอย่างมีนัยฯ และอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ใน ระดับสูงนานกว่าคาด เพื่อให้เงินเฟ้อลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ส่งผลให้ตลาดหุ้น มีความผันผวนลดลงและทรงตัวได้ดีขึ้น ส่วนบ้านเราคาด SET Index วันนี้พักในกรอบ 1,640 – 1,660 จุด
GDP ไทยยัง LAGGARD เมื่อเทียบประเทศอื่น ส่วนปีนี้คาดฟื้นตัวจาก โครงการลงทุนภาครัฐฯ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยตัวเลขประมาณการ GDP 4Q65 ครั้งที่ 2 ลดลงสู่ระดับ +2.7%YoY (เดิมคาด +2.9%YoY) สาเหตุจากตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวลดลง จากระดับ 2.1%YoY สู่ระดับ 1.4%YoY ในไตรมาสดังกล่าว
อย่างไรก็ตามมูลค่า GDP ของสหรัฐฯยังฟื้นตัวเด่นจากช่วงก่อนเกิด COVID-19 (เกิน สมมุติฐานที่ 100 จุด ณ สิ้นปี 2019) อยู่ที่ 121.8 จุด, ยุโรป 102.4 จุด, จีน 126.5 จุด จึง มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้จะดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวต่อไปได้ หากต้องการ สวนทางกับประเทศไทยที่มูลค่า GDP ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 อยู่ ที่ระดับ 98.6 จุด หลังถูกกดดันจากภาคการค้าและการใช้จ่ายของภาครัฐที่หดตัวเป็นหลัก จึงน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป และถ้าหากมองอีกมุมหนึ่ง เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาส ฟื้นตัวได้อีกมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ GDP ขยายตัวไปในระดับหนึ่งแล้ว
สรุป สมมุติฐาน GDP ไทยเมื่อเทียบก่อนเกิด COVID-19 จะยังอยู่ระดับต่ำกว่า 100 จุด กดดันการขยับขึ้นของ SET ในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามอาจเป็นแรงหนุนในอีกมุม เนื่องจาก กนง.มีโอกาสที่จะใช้นโยบายทางการเงินเชิงรุกน้อยลงในปีนี้ โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่า ระดับดอกเบี้ยไทยปลายปี 2566 อยู่ในช่วง 1.50%-1.75% เท่านั้น ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ Flow ต่างชาติไหลกลับตลาดหุ้นไทยระยะถัดไป เนื่องจาก Market Earning Yield Gap อยู่ระดับต่ำกว่าประเทศอื่นๆ(สหรัฐฯ,ยุโรป) ขณะที่วันนี้มองกรอบการ เคลื่อนไหวของ SET Index ที่ระดับ 1640-1660 จุด
การขยับขึ้นของ SET ถูกจำกัดจาก CURRENT P/E ที่แพงขึ้นมาอยู่ที่ 18.8 เท่า หลังกำไร 4Q65 ลดลงต่อเนื่อง
เริ่มฤดูกาลประกาศงบ 4Q65 ช่วงปลายเดือน ม.ค. 66 จนถึงวันที่ 23 ก.พ. 66 บริษัทจด ทะเบียน รายงานงบ 4Q65 ออกมาแล้ว 237 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน Market Cap. 70% ลดลง -26%QoQ และ -31%YoY ที่สำคัญคือต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาด (Negative Surprise) ถึง -32% ประเด็นดังกล่าวถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต่างชาติขาย สุทธิหุ้นไทยในเดือน ก.พ. 66 สูงสุดในภูมิภาคถึง 3.26 หมื่นล้านบาท (mtd) กดดัน SET Index ปรับตัวลดลง -1.1% (mtd)
ในอีกมุมเศรษฐกิจไทยและกำไรที่ออกมาต่ำกว่าคาด กดดันให้ ESP65F ล่าสุดลดลงเหลือ 88 บาท/หุ้น (เดิม 93.6 บาท/หุ้น) ส่งผลให้Current P/E ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 18.8 เท่า ถือว่า แพงกว่าระดับปกติที่ 17.54 เท่า (อิงกับ MEYG ที่ 4.2% และ Bond Yield 1Y 1.5%) เป็น อีกสาเหตุหนึ่งที่กดดันให้นักลงทุนเกิดการขายทำกำไรหรือลดน้ำหนักพอร์ตลงในช่วงนี้
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน 10% – 20% ส่วนหุ้นแนะนำหุ้นผันผวน ต่ำจ่ายปันผลสูงปีละครั้ง อย่าง KTB, BAM และหุ้นที่อิงกับราคาน้ำมันได้แรงหนุจาก รัสเซียลดการส่งออกในยุโรป อย่าง PTTEP เป็น Top pick
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities