ในฝั่งสหรัฐ วานนี้ประธาน Fed ชี้ว่าสหรัฐยังต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หาก ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งเช่นนี้ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ย่อตัวลงมา มีการรีบาวด์กลับมาบ้างในวานนี้ แต่ประเด็นการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed นักลงทุนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อ ทั้งจากรอดูความเห็นจากถ้อยแถลง ของผู้ว่าการ Fed ในสาขาต่างๆ ที่จะทยอยออกมา รวมถึงการรายงานตัวเลขเงิน เฟ้อสหรัฐเดือน ม.ค. 66 (ณ 14 ก.พ. 66) ตลาดคาดเติบโต 6.2%yoy ลดลงจาก เดือนก่อนที่ 6.5% ว่าจะออกมาสูงและต่ำกว่าคาดอย่างไร?
ในฝั่งของจีน เห็นภาพการเปิดประเทศ หนุนเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด เริ่มจากเห็น กิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนสูงกว่าช่วง Pre Covid, ทาง ททท. คาดมีโอกาสเห็น นักท่องเที่ยวจีนในปีนี้สูงถึง 8 ล้านราย (เป็นสัดส่วน 70 – 80% ก่อน Pre Covid) , โอกาสการเกิด Recession ในประเทศต่างๆ ลดลง และ Spread ปิโตรฯ เร่งฟื้น ขึ้นหลังจากจีนเปิดประเทศ
ตลาดหุ้นที่เผชิญกับปัจจัยต่างอารมณ์กัน คาด SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1670 – 1690 จุด กลยุทธ์แนะนำหุ้นได้แรงหนุน China Reopening ได้เร็วกว่า คาด BEM, NER, PTTGC เป็น Toppick
FED ส่งสัญญานเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย หากตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐรีบาวด์ปิดตัวในแดนบวกราว 0.8% ถึง 1.9% หลังจากร่วงแรงตั้งแต่ ช่วงต้นสัปดาห์ รวมถึงตลาดได้ Price in ในเรื่องการดำเนินนโยบายเชิงรุกของ Fed ไปใน ระดับหนึ่งแล้ว ท่ามกลางภาคแรงงานในสหรัฐที่ยังแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ในงานเสวนาฯ เมื่อคืนนี้ ได้ส่งสัญญานการเดินหน้าปรับ ขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่คุมเข้ม (Restrictive Level) เอาไว้อีกระยะหนึ่ง (คาดการณ์เพดานดอกเบี้ยจาก Dot Plot ปี 2566 อยู่ที่ 5.1%) เพื่อกด เงินเฟ้อให้เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% โดยคาดว่าในปีนี้เงินเฟ้อสหรัฐจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามหากตัวเลขจ้างงานยังคงออกมาดีกว่าคาดและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงช้ากว่า คาดในระยะถัดไป อาจทำให้ Fed ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
เมื่อพิจารณาผลการสำรวจของ Fed Watch Tool พบว่า หลังจากที่นายเจอโรมออกมา กล่าวสุนทรพจน์ นักวิเคราห์ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ระดับ 5.25% ในปีนี้ และคงอยู่ในระดับดังกล่าวยาวนานขึ้น ก่อนที่จะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ย ลดลงมาในช่วงเดือน ธ.ค. 66 (จากเดิมคาดว่าจะลดลงในเดือน พ.ย. 66)
ในส่วนประเด็นที่ติดตามในสหรัฐฯ ที่คาดว่า Fed จะนำไปพิจารณาในการดำเนินนโยบาย การเงินในระยะถัดไป อาทิ การให้ความเห็นของประธาน Fed สาขาต่าง, ตัวเลขเงินเฟ้อ, ดัชนีภาคการผลิต, ยอดค้าปลีก, ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการผู้ว่างงาน ฯลฯ
สรุป Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป หลังตลาดแรงงานค่อนข้างแข็งแกร่ง และต้องการให้เงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% ทั้งนี้นักลงทุนควรติดตามตัวเลขทาง เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
สัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจดีขึ้น หลังจีนเปิดประเทศครบ 1 เดือน หุ้น ไหนน่าสะสม ?
การกลับมาเปิดประเทศของจีน ตั้งแต่ 8 ม.ค.2566 ผ่านมาแล้ว 1 เดือนเต็ม ทำให้เศรษฐกิจ ประเทศต่างๆดูดีขึ้นอย่างไรบ้าง ... มาดูกัน
• ภาคการท่องเที่ยว = นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าไทยในเดือน ม.ค. 66 มากกว่า 9 หมื่นราย เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ธ.ค. 65 จำนวน 5 หมื่นราย + ททท.มีการปรับ เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเป็น 7-8 ล้านคน (เดิมคาด 5 ล้านคน) ซึ่งถือว่าอยู่ระดับ 80% ของช่วงก่อนเกิด COVID-19 และ 1Q66 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยราว 3 แสนราย
• Manufacturing PMI (PMI ภาคการผลิต) ไทยและจีนปรับตัวดีขึ้นเหนือระดับ 50 จุด (Demand ฟื้นตัว) บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง
• โอกาสเกิด Recession ในอีก 1 ปีข้างหน้า = Bloomberg คาดการณ์การเกิด Recession ใน 1 ปีข้างหน้าของหลายประเทศลดลง อาทิ รัสเซีย(90% สู่ 70%) เยอรมัน (90% สู่ 78%) ยุโรป(80% สู่ 68%) ฟิลิปปินส์(13% สู่ 10%)
• ปิโตรเคมีฟื้นตัวเด่น = หลังจีนเปิดประเทศตั้งแต่ 8 ม.ค. 66 โดย BD-Naphtha +134% PP-Naphtha +16% PX-Condensate +14%
กลยุทธ์การลงุทนเน้นหุ้นธีม China Play แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
• กลุ่มหุ้นได้แรงหนุนจากนักท่องเที่ยวจีน M OR CRC AOT (BK:AOT) BEM THANI CENTEL ERW
• กลุ่มหุ้นส่งสินค้าออกไปจีน NER CBG KCE
• กลุ่มปิโตรเคมี SCGP SCC IRPC TOP PTTGC
สรุป หลังจีนเปิดประเทศมา 1 เดือนเต็ม เริ่มเห็นสัญญาณบวกของการฟื้นตัวทาง เศรษฐกิจในหลายประเทศที่ดีกว่าคาด คาดเห็นเม็ดเงินทยอยไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงใน ฝั่งเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวเดิน ทางเข้าไทยมากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว อย่าง PTTGC NER BEM เป็น Top picks
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities