สัญญาณความกังวลเรื่อง Recession ลดลงต่อเนื่อง ล่าสุด NABE(สมาคม เศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐ) มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ Recession ลดลงเมื่อเทียบกับมุมมองช่วง 3 ก่อน ซึ่งภาพดังกล่าวช่วยหนุนการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดย สศช. มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มประมาณการ GDP Growth ปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 3.5 – 4% สำหรับผลประกอบการบริษัทจด ทะเบียนงวด 4Q65 ที่กำลังทยอยประกาศ เชื่อว่ามีโอกาสที่จะเห็นการหดตัวเมื่อ เทียบกับไตรมาส 3Q65 ที่ผ่านมา โดยแรงกดดันหลักจะมาจากกลุ่มธนาคาร พาณิชย์ที่มีฐานกำไรหดตัว 23% QoQ (8 แห่งใน Coverage ของฝ่ายวิจัย) ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี-โรงกลั่น มีแรงกดดันจาก Spread และ Stock Loss อย่างไร ก็ตามมุมมองในปี 2566 ยังน่าจะเห็นการกลับมาเติบโตของกำไรต่อเนื่อง
จากปัจจัยบวกในเชิงภาพรวมเศรษฐกิจทำให้คาดว่า SET Index น่าจะปรับตัว สูงขึ้น ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวช่วง 1675 – 1700 จุด หุ้น Top Pick เลือก AP, BEM และ SAPPLE ทั้งนี้พอร์ตการลงทุนควรมีเงินสดสำรองไว้บางส่วน
ตลาดหุ้นโลกสดใสต่อ หลังความกังวล RECESSION ค่อยๆ ลดลง
ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงสดใสต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาหุ้นสหรัฐปิดบวกราว 0.76% ถึง 2.01% ส่วนดัชนีหุ้นยุโรปบิดบวกราว 0.18% ถึง 0.75% หลังภาพเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกเริ่มผ่อน คลายลง หลังจากสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐฯ (NABE) เผยโอกาสที่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลงจากระดับ 64% ใน เดือน ต.ค. สู่ระดับ 53% ในเดือน ม.ค. 66 เนื่องจากเงินเฟ้อค่อยๆ ปรับตัวลง
ในขณะที่ฝั่งยุโรป ผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์โดย Consensus Economics คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปจะเติบโต 0.1% จากเดิมที่มองว่ามีเศรษฐกิจมี โอกาสติดลบ เนื่องจากจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดซึ่งจะเป็นการสร้างสมดุลทาง เศรษฐกิจ รวมถึงราคาพลังงานที่ลดลง
สรุป : เงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มปรับตัวลดลง ส่งผลให้เพดานการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแต่ละ ประเทศเริ่มจำกัด ซึ่งเป็นการช่วยลดโอกาสในการเกิดเศรษฐกิจถดถอยรวมถึง เป็น บวกกับการค้าของประเทศไทยและเป็น Upside ให้กับการเติบโตของ GDP ไทย เช่นเดียวกัน
ความกังวลเรื่อง RECESSION เริ่มคลาย หนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัว
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ลดระดับความกังวลเรื่อง Recession ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวไดต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สศช. เตรียมทบทวนประมาณการณ์ GDP66F ของไทยที่ อาจขยายตัวได้ถึง 3.5%YoY – 4%YoY (เดิมคาด 3.0%YoY – 4%YoY) โดยอุปสงค์ ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น จากภาคการท่องท่องเที่ยวและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงมี ฐานะการเงิน-การคลังของไทยค่อนข้างมีความแข็งแกร่ง โดยกระทรวงการคลังเผยการ จัดเก็บรายได้สุทธิในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค. – ธ.ค. 2565) จำนวน 6.3 แสนล้านบาท (สูงกว่าคาด 13.2%) ซึ่งกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 13.3%YoY
นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากทั้งนโยบายการคลังที่ดีขึ้น และการเงินที่ผ่อนคลายลง รายละเอียดดังนี้
• นโยบายการคลัง เชื่อว่าการใช้จ่ายเม็ดเงินออกจากภาครัฐ น่าจะถูกปรับเปลี่ยน จาก โหมดของการใช้งบประมาณในการเยียวยามาเป็นเพื่อการลงทุนมากขึ้น สะท้อนจากงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ 66 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หน้า 17.3% เป็น 0.7 ล้านล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ 21.8% ของวงเงินงบประมาณ ทั้งหมด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ ช้อปดีมีคืน 40,000 บาท, การลด ค่าธรรมเนียมการโอนฯ-จดจำนอง ในการซื้อที่อยู่อาศัยลง และยังต้องติดตามผล การพิจารณาโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 เตรียมเข้าครม. ในวันนี้
• นโยบายการเงิน โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า ในปี 2566 จะเห็นการชะลอการขึ้น ดอกเบี้ย และในการประชุม กนง. วันที่ 25 ม.ค. (ครั้งที่ 1/2566) อาจจะคงอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% เนื่องจากไม่ได้มีปัจจัยเร่งด่วนในการปรับขึ้น ดอกเบี้ย ทั้งนี้ประเมินจากปัจจัยแวดล้อม อีกทั้งปัจจุบันเงินบาทยังแข็งค่าอย่าง รวดเร็ว รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในกลุ่ม M Rate ปรับขึ้นมาเฉลี่ย 0.82% ในช่วง เวลาสั้นๆ
สรุป ความกังวลเรื่อง RECESSION เริ่มเบาลง เป็น Sentiment เชิงบวกต่อเศรษฐกิจ ไทยให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจัยแวดล้อมที่มาจากการค้าระหว่างประเทศ อุป สงค์ภายในประเทศและภาคการท่องท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงฐานนะการเงินการคลังของไทยค่อนข้างมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากทั้งนโยบาย การคลังและการเงิน
กำไร 4Q65 อาจลดลง แต่ในอีกมุมอาจเปิด UPSIDE กำไรปี 2566
หลังมีการประกาศงบกลุ่ม ธ.พ. งวด 4Q65 4.1 หมื่นล้านบาท (-23.7%QoQ, -3.2%YoY) เป็นที่เรียบร้อย ก็เข้าสู่ช่วงรายงานกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 4Q65 ในกลุ่ม Real Sector ในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ มีการรวบรวมตัวเลข Earning Preview 4Q65 มาแล้ว 22 บริษัท (คิดเป็นสัดส่วน 25% ของ Market Cap) ลดลง 30%QoQ และ 34%YoY โดยกลุ่มที่ลดลง ทั้ง QoQ และ YoY คือ PKG, CONMAT, CONS และ ENERG
การลดลงอย่างมีนัยฯ ของกำไร 4Q65 น่าจะกดดันประมาณการกำไรในปี 2565 แต่ในอีก มุมอาจเป็นการเพิ่มการเติบโตของ EPS Growth 2566F ที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินไว้ที่ 6% และเชื่อว่ากลุ่มหุ้นที่เติบโตแรงน่าจะได้รับความสนใจในกสารลงทุนมากขึ้น หลังความ กังวลประเด็น Recession ในต่างประเทศผ่อนคลายลง บวกกับการใช้นโยบายการเงินที่ เข้มข้นของหลายๆ ประเทศเริ่มเบาลง
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดแยกกลุ่มหุ้นที่คาดว่าเติบโตเด่นในปี 2566 มีดังนี้ TOURSIM, CONS, TRANS พลิกกลับมา Turnaround และกลุ่มที่กำไรโตแรง อาทิ MEDIA เติยโต 49%, PETRO 34%, COMM 30%, PKG 21%, FOOD 14%, ICT 13%, FIN 13% เป็น ต้น
พร้อมกับทำการค้นหา “หุ้นพื้นฐานดีน่าสะสม อยู่ในกลุ่มกำไรเติบโตเด่นในปี 2566” ได้ ผลลัพธ์ 20 บริษัท
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities