วานนี้ทางมอร์แกน สแตนลีย์ปรับเป้าดอลลาร์จาก 104 เหลือ 98 จุด รวมถึงนัก ลงทุนรอดูการประชุม BOJ วันพรุ่งนี้ ว่าจะปรับเปลี่ยนนโยบายเข้มข้นขึ้นหรือไม่? ล้วนกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ในทางกลับกันหนุนค่าเงินบาทในระยะ กลางยาวแข็งค่าขึ้นต่อได้ โดยช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในเอเชียเพิ่มขึ้น เกือบ 5%ytd ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการเก็งกำไรค่าเงินสะท้อนได้จากนักลงทุน ต่างชาติซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นไทยสูงถึง 6.4 หมื่นล้านบาท และเป็นตราสารหนี้ ระยะสั้นสัดส่วนสูงถึง 90% ของยอดซื้อสุทธิรวม กดดันให้ Bond Yield 2 ปีไทย ลดลงมาต่อเนื่องเหลือ 1.56% (จาก 1.94% ในช่วงปลายเดือน ต.ค.65) ซึ่งเข้า ใกล้ดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ทั้ง Bond Yield ที่เข้าใกล้ดอกเบี้ยนโยบาย และ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาเร็ว อาจส่งผลให้กนง.มีโอกาสยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ในช่วง 1Q66 ได้ หนุนเป้าหมายดัชนี Base Case ขยับขึ้นมาที่ 1740 จุด และ Best Case 1820 จุด โดยหุ้น Growth Stock น่าจะกลับมาได้รับความสนใจมาก ขึ้น ชอบ ERW, STEC, CBG, BEC รวมถึงหุ้นธีมตรุษจีน หุ้นท่องเที่ยว เตรียบรับ มาตรการเราเที่ยวด้วยกันเฟส ที่จะเข้าครม.วันนี้ ชอบ AOT (BK:AOT), ERW, TFG
ประเมินว่า SET Index มีเคลื่อนไหวในกรอบ 1675 - 1700 จุด หุ้น Top Pick เลือก COM7, ERW และ TFG
ชาวจีนทะลัก บวกมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ตอกย้ำท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว
นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากทั่วโลกต่างผ่อนคลาย มาตราการคุมเข้มโควิด จนทำให้ปี 65 มีจำนวนเที่ยวเดินทางมาไทยเกินกว่าเป้าหมายที่ ททท.คาดการณ์ไว้ 20 ล้านคน ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีน (มีสัดส่วน 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 62 ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับ 1) ทะลักเข้าไทยมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลตรุษจีน สอดคล้องกับข้อมูลในอดีตที่ว่านักท่องเที่ยวชาวจีน เดินทางเข้ามาในไทยสูงสุดช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. โดย ททท. ประเมินว่าอาจมีนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าประเทศกว่า 1 แสนถึง 3 แสนรายในช่วง Q166 ขณะที่ทั้ง 66 ททท. ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนจำนวน 5 ล้านคน
ในส่วนของบ้านเรา ททท. จะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอย่างเราเที่ยว ด้วยกันเฟส 5 เพื่อพิจารณาเห็นชอบ ในที่ประชุม ครม. วันนี้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของ ไทยคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้การบริโภค ภาคเอกชนและการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มสูงขึ้น หนุนดุลบริการและดุลบัญชีเดินสะพัดพลิก กลับไปเป็นบวกได้ในระยะถัดไป ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อ GDP ไทยให้เติบโตท่ามกลาง ความกังวลเศรษฐกิจถดถอย
สรุป จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยมากขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะ อย่างยิ่งช่วงเทศกาลตรุษจีนที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนทะลักเข้ามาในบ้านเรา มากสุดในรอบปี แนะนำหุ้นที่ได้รับประโยชน์ อาทิ ERW, AOT, TFG, CENTEL, AURA
กระแสหุ้น EV กำลังมาแรง... EA โดดเด่นสุดในกลุ่มฯ
ปัจจุบันธุรกิจรถยต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ถือเป็นประเด็นที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศ ไทย จากการที่ภาครัฐทออกนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการยานยนต์ และมาตรการจูงใจ ผู้ซื้อ EV มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ของภูมิภาค อาเซียน ส่งผลให้ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ EV ปรับตัวขึ้นตามกระแสที่กำลังมาแรง ในช่วงนี้
ทั้งนี้ หากพิจารณาผู้ประกอบการในไทยที่ผลิตรถ EV และแบตเตอรี่ ถือได้ว่า EA มีความ โดดเด่นสูงสุด จากการลงทุนในหลายห่วงโซ่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
• ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน – ปัจจุบันมีโรงงานผลิตแบตฯกำลังการผลิต 1 พันเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ป้อนให้บริษัทในกลุ่มทั้งหมด โดยตั้งเป้าจะขยายกำลัง การผลิตขึ้นเป็น 2 และ 4 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีในปี2566 และปี2567 ตามลำดับ
• ธุรกิจผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ - กำลังการผลิตสูงสุดราว 9,000 คัน/ปี โดยปี 2564 และ 9M65 มีการส่งมอบรถ E-BUS ไปแล้ว 112 คัน และ 251 คัน ตามลำดับ ซึ่งใน 4Q65 และปี 2566 EA ตั้งเป้าส่งมอบรถโดยสาร ไฟฟ้าให้ได้ราว 1 พันคัน และ 2 พันคันตามลำดับ รวมถึงในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดตัว รถกระบะไฟฟ้า (EV Mini Truck) และได้ผลิตหัวรถจักรไฟฟ้าต้นแบบ 1คัน ส่ง มอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทดสอบระบบ ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงคมนาคม ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ดำเนินการจัดหาหัวรถจักร EV ทยอยมาให้บริการ 50 คันภายในปี 2566 นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับ บริษัท Computer Forms Malaysia Berhad (CFM) ประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าใน ประเทศมาเลเซีย โดยได้มีการลงนามสัญญาจะซื้อจะขายรถโดยสารไฟฟ้าของ กลุ่ม EA จำนวน 200 คัน และตั้งเป้าจะขยายตลาดการคมนาคมขนส่งไฟฟ้า และ ศึกษาขยายฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆทั่วมาเลเซียในอนาคต
• ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า – แม้ปัจจุบันจะยังไม่ถือเป็นส่วน ช่วยสร้างกำไรอย่างมีนัยฯให้ EA แต่ถือเป็นธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการใช้ ยานนต์ไฟฟ้าให้เติบโตขึ้นได้ต่อเนื่อง โดย EA มีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า แล้ว 490 สถานี ราว 2.2 พันหัวชาร์จ รวมถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถ โดยสารไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ 22 สถานี และเรือโดยสารไฟฟ้าอีก 3 สถานี ในส่วน ของบริษัทอื่นในประเทศไทยที่มีธุรกิจแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ PTT (BK:PTT) + GPSC – ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน NUOVO PLUS (PTT:GPSC ถือหุ้นที่ 51:49) ปัจจุบันมีโรงผลิตแบตเตอรี่ต้นแบบ 30 MWh ในประเทศไทย รวมถึงได้ร่วมลง นาม MOU กับบริษัท Foxconn เพื่อศึกษาความเป็นไปได้สำหรับจัดตั้ง โรงงานผลิต Platform และส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อ เตรียมความพร้อมสู่ตลาด EV ในอนาคต อีกทั้งยังมีการลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ใน ประเทศจีนผ่านการถือหุ้น 11% ใน AXXIVA และ 51% ใน NV Gotion ซึ่งคาด โรงแบตฯการผลิตติดตั้งโรงละ 1 พันเมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี คาดเริ่ม COD ได้ปี 2566 ส่วนทางด้าน BANPU + BPP – ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน BANPU NEXT (BANPU และ BPP ถือหุ้นบริษัทละ 50%) ได้จับมือกับ Durapower และบริษัท เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ ก่อตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในประเทศไทย (สัดส่วนถือหุ้น 30:30:40 ตามลำดับ) เพื่อป้อนให้แก่ E-Bus ของบริษัทเชิดชัย ซึ่ง phase 1 จะเริ่มต้นที่ 200 MWh คาด COD ภายในปี 2566 และตั้งเป้าเพิ่มกำลัง การผลิตให้ได้ 1 พัน MWh ภายในปี 2569 นอกจากนี้ BANPU NEXT ยังได้เข้า ลงทุนโดยตรง 47.7% ใน Durapower ประเทศจีน ซึ่งมีโรงงานรองรับการผลิต แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ได้สูงสุด 1.0 พัน MWh สำหรับป้อนสู่กลุ่มลูกค้า EV ทั้ง ในยุโรป และประเทศจีน
เงินทุนไหลเข้าตลาดการเงินไทยชัดเจน หนุน BOND YIELD ปรับตัวลง ทำ ให้ความกังวลการขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง หนุน TARGET SET สูงขึ้น
หลังจากที่ Dollar Index อ่อนตัวแรงในช่วงที่ผ่านมาจาก 115 จุด สู่ 102 จุด ทำให้ค่าเงิน สกุลต่างๆแข็งค่าขึ้นโดยปริยาย โดยตั้งแต่ต้นปีค่าเงินโซนเอเชีย แข็งค่าราว 1.4% - 4.8% ซึ่งประเทศที่ค่าเงินแข็งค่ามากสุด คือ ไทย
ซึ่งเหตุปัจจัยมาจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดการเงินไทยโดดเด่นทั้งในส่วนของตราสาร หน้ และตลาดหุ้นไทย โดยตั้งแต่ต้นปีซื้อสุทธิ 1.8 พันล้านเหรียญฯ และ 541 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ โดยหากพิจารณา 3 เดือนที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยสูงถึง 1.58 แสนล้านบาท(เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่อายุ
และเมื่อ Bond Yield 2 ปีปรับตัวลงสู่ระดับใกล้เคียงกับดอกเบี้ยนโยบาย นั้นหมายความ ว่า ความกังวลที่ดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีโอกาสลดลง ทำให้ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าตลอดปี 2566 กนง. มีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 1 ครั้ง จาก 1.25% สู่ระดับ 1.50% และช่วง 1Q66 อาจจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย โดยฝ่ายวิจัยฯแบ่งการขึ้นดอกเบี้ย นโยบายตลอดทั้งปี เป็น 3 กรณีผนวกกับใช้ Market Earning Yield Gap ระดับ 4.2% และอิง EPS66F ที่ระดับ 99.2 บาท/หุ้น จะได้ระดับ Target SET Index ณ สิ้นปี 2566 ที่ ต่างกันออกไป ดังนี้
• Worst Case หรือ ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75%(ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25%) ทำให้Target SET Index อยู่ที่ระดับ 1667 จุด
• Base Case หรือ ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50%(ขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25%) ทำให้Target SET Index อยู่ที่ระดับ 1740 จุด
• Best Case หรือ ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25%(ไม่ขึ้นดอกเบี้ยเลยในปีนี้) ทำให้ Target SET Index อยู่ที่ระดับ 1820 จุด
ดังนั้น เมื่อ Target SET Index ยังมี Upside พอสมควร ฝ่ายวิจัยฯ จึงทำให้คัดกรอง หุ้นเด่นที่คาดราคาหุ้นจะ Outperform ในช่วงที่เหลือของปี โดยมีเงื่อนไขการคัดกรอง EPS Growth 66F > 25%YoY โดยฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ ERW RS MAJOR GULF STEC SCGP SCG CBG และ BEC
สรุป เม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดการเงินของไทยอย่างโดดเด่นตั้งแต่ต้นปี ทำให้ Bond Yield 2 ปีปรับตัวลงแรง จนอยู่ระดับใกล้เคียง อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ Upside ของตลาดหุ้นกลับมามีสีสันอีกครั้ง และคาดในระยะถัดไป SET Index มีโอกาสทะลุ แนวต้าน 1700 จุดได้สำเร็จ
ส่วนหุ้น Toppicks วันนี้เลือก ERW TFG และ COM7
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities