Fund Flow ยังไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยหากย้อนไปในปี 2565 พบว่าตลาดหุ้นไทย ถูกซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคอยู่ที่ 5.96 พันล้าน USD ขณะที่จาก ต้นปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ก็มีการซื้อสุทธิเพิ่มอีก 346 ล้าน USD ประเมินจากปัจจัย แวดล้อมทางพื้นฐานของไทยที่ยังเป็นบวก และ ทิศทางของเงินบาทที่แข็งค่า เชื่อ ว่ายังน่าจะเห็น Fund Flow ไหลเข้าตลาดต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะเห็น แรงซื้อมากเหมือนปี 2565 อาจมีไม่มากนัก เนื่องจากภาพรวมปริมาณเงินที่เป็น สภาพคล่องส่วนเกินทั้งระบบมีแนวโน้มลดลงจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึง ตัวมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่น่าสนใจคือกระแสการเปิดเมืองของจีน ที่ทำให้ราคาหุ้นใน กลุ่ม China Play ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งในส่วนของกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเดินทาง และกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์จาการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
คาดว่า SETIndex น่าจะยังมีMomentum แกว่งตัวในทิศทางขึ้น แต่อาจต้อง เพิ่มความระมัดระวังบริเวณแนวต้านที่ 1700 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1685 จุด หุ้น Top Pick เลือก ERW, GULF และ THANI
ท่องเที่ยวดูดี ในปีกระต่าย ททท. คาดตรุจีนนักท่องเที่ยวสะพัด ขณะที่ ส่งออกพร้อมรับอานิสงค์บวกตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน
ภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยดูสดใสขึ้น หลังไทยปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม รวมถึง ยกเลิกข้อกำหนดนักท่องเที่ยวต้องมีประกันครอบคลุมวงเงิน 1 หมื่นดอลลาร์ ขณะที่วานนี้ มีเที่ยวบินจากจีนบินมาไทยแล้ว 15 เที่ยว รวมผู้โดยสารทั้งสิ้น 3,465 ราย หลังเปิด ประเทศ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 66
ขณะที่ 1Q66ซึ่งตรงกับเทศกาลตรุษจีน (วันที่ 21-27 ม.ค. 66) โดยเป็นการหยุดยาวพร้อม กับการเปิดประเทศครั้งแรกในรอบ 3 ปี จึงคาดว่าน่าจะเป็นแรงหนุนให้นักท่องเที่ยวชาว จีนเดินทางเข้ามาบ้านเรามากขึ้น ททท. คาดว่าจะสูงถึง 1-3 แสนราย ส่วนตลอดทั้งปี 66 คาดจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนราว 5 ล้านคน ทำให้รวมแล้วทั้งปีอาจมีนักท่องเที่ยวรวมทุก ประเทศสูงถึง 25 ล้านคน หรือประมาณ 60% ของตัวเลขปี 62 (หุ้นที่ได้ประโยชน์ อาทิ AOT (BK:AOT), ERW, MINT, CENTEL)
ในอีกมุมหนึ่งอัตราเงินเฟ้อของจีนที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าหลายประเทศ โดยเดือน พ.ย. +1.6%YoY เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน หลังเศรษฐกิจชะลอตัวจากมาตราการ ZeroCovid ทำให้ทางการจีนสามารถใช้มาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงินหรือ นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ในระยะถัดไป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวคาดหวัง ว่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อภาคการส่งออกไทยเช่นกัน เนื่องจากสัดส่วนการส่งออก ไปจีนราว 12% ของมูลค่าการส่งออก และอยู่อันดับ 2 ของมูลค่าการส่งออกไทยราย ประเทศ (หุ้นที่ได้ประโยชน์ อาทิCBG, NER, STA, TKN, HANA, KCE)
สรุป มาตรการรองรับนักท่องเที่ยวของไทยที่ผ่อนคลาย คาดว่าจะดึงดูดให้นักท่องเที่ยว ต่างชาติเข้ามาบ้านเรามากขึ้น บวกกับช่วงเทศกาลตุรษจีน ซึ่งเป็นวันหยุดยาวพร้อม กับการเปิดประเทศครั้งแรกในรอบ 3 ปี น่าจะทำให้ชาวจีนเดินทางมากขึ้น นอกจากนี้ ยังแห็นแนวโน้มการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนระยะถัดไป ซึ่งปัจจัยดังกลาวเป็น อานิสงค์เชิงบวกกันภาคการส่งออกไทยเช่นกัน
CARBON CREDIT หุ้นใดที่ฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ
ปัจจุบัน คาร์บอนเครดิตถือเป็นเทรนด์ธุรกิจใหม่ที่ผู้ประกอบการเริ่มให้ความสนใจมาก ยิ่งขึ้น จากกฏหมายในต่างประเทศที่เริ่มมีการควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีบทลงโทษอย่างชัดเจน รวมทั้งในประเทศไทยที่แม้จะยังไม่มีบทลงโทษทางกฏหมาย แต่เเริ่มมีการซื้อขายกันในตลาดภาคสมัครใจเพื่อวัดถุประสงค์ในการโปรทโมทบริษัทใน การสร้างภาพลักษ์ที่ดี หรือกรณีส่งออกสินค้าบางประเภทจากไทย ไปยังประเทศอื่นๆที่มี การควบคุมเกณฑ์การปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งจะถือเป็นการช่วยเพิ่มความสามารถในการ แข่งขันธุรกิจในตลาดต่างประเทศได้
หากพิจารณาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ปัจจุบันมีการซื้อขายผ่านโครงการลดก๊าซ เรือนกระจกภาคสมัครใจ หรือ T-VER โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกเป็นผู้ให้ การรับรอง ซึ่งเครดิต TVER จะสามารถนำมาซื้อขายภายในประเทศได้ ภายใต้ราคาที่ผู้ซื้อ และผู้ขายตกลงกันเอง โดยปัจจุบันมีปริมาณก๊าซฯเรือนกระจกที่ได้รับการรับรองจาก โครงการดังกล่าวราว 14 ล้านตันคาร์บอน (ราว 4% ของปรืมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของไทยในแต่ละปี) และเริ่มมีการซื้อขายสะสมราว 2.7 ล้านตันคาร์บอน (ราว 19%) ของ ปริมาณเครดิตที่ขึ้นทะเบียนใน T-VER และราคาเฉลี่ยในปี 2565 จะอยู่ราว 77 บาท/ตัน คาร์บอน
ทั้งนี้หากพิจารณากลุ่มโรงไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ผ่านวิจัยศึกษา พบว่า ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ได้ขึ่นทะเบียนรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว อย่างไรก็ตาม จากการ สอบถามไปยังผู้ประกอบการพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพียงการขึ้นทะเบียนไว้ โดยยังไม่ได้มีการ นำเครดิตดังกล่าวมาขายในปัจจุบัน (มีเพียง 2 บริษัท ที่เริ่มมีการนำเครดิตบางส่วนมาขาย ได้แก่ BCPG และ TPIPP) เนื่องจากยังไม่มีราคากลางที่แน่นอน และแนวโน้มราคาคาดยัง ปรับตัวขึ้นต่อได้ในอนาคต โดยเพื่อเป็นการประเมินเบื้องต้น หากนำปริมาณคาร์บอน เครดิตสะสมมาคูณกับราคาเฉลี่ยล่าสุดที่ 77 บาท/ตันคาร์บอนในแต่ละบริษัทจะพบว่า มูลค่าที่ได้รับอาจยังไม่มีนับฯมากนัก โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 0.3% ของประมาณการกำไร ปี 2566 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ จึงถือเป็นมุมมองเชิงบวกในระยะยาว ในการต่อยอดธุรกิจ ใหม่ของกลุ่มพลังงานสะอาดในอนาคต
FUND FLOW ไหลเข้าต่อเนื่อง แต่บาทที่แข็งเร็ว พร้อมกับตลาดที่ขึ้นมา เร็วอาจมีการพักบ้าง
ปัจจุบันค่าเงินบาท แข็งค่ากว่า 3.3%ytd(แข็งค่ามากสุดในอาเซียน) จนล่าสุดอยู่ที่ 33.4 บาท/เหรียญฯ ซึ่งมาจาก 3 เหตุผลหลักๆ ดังนี้
1. เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้น โดยเดือน ธ.ค.65 อยู่ที่ 0.217 ล้านล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 หลังจากผ่านพ้นจุดต่ำสุดในเดือน ก.ย.65 ที่อยู่ระดับ 0.199 ล้านล้านเหรียญฯ ซึ่งได้แรงหนุนหลักจากภาคการท่องเที่ยวซึ่ง ถือเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของไทย โดยประเมินว่ายังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะทยอยเข้าไทยตั้งแต่ 8 ม.ค.66
2. เศรษฐกิจไทยโตโดดเด่นในปีนี้ สำนักเศรษฐกิจต่างประเทศหลายแห่งต่าง ประเมินว่าบ้านเราเป็น 1 ใน 2 ประเทศในแถบเอเชียที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ ต่อเนื่องเฉลี่ยราว 3.8%YoY ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะ Recession โดย Bloomberg คาดยุโรปมีโอกาสเกิด 80% สหรัฐ 65% และไทย มีโอกาสเกิดเพียง 13%
3. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดย CPI เดือน ธ.ค. 65 +5.9%YoY (ต่ำ กว่าคาด) และทยอยปรับตัวลงจากจุดสูงสุดในเดือน ส.ค.65 +7.9%YoY อีกทั้ง แนวโน้มเงินเฟ้อปี 66 ฝ่ายวิจัยฯ ได้นำการเติบโตเงินเฟ้อ (CPI) เดือนล่าสุดของ ไทย ที่ระดับ -0.06% MoM มาคิดสมมุติฐานเงินเฟ้อในระยะถัดไป พบว่า CPI YoY จะทยอยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งสู่ระดับ +2.7%YoY ในเดือน มี.ค. 66 ซึ่งเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของ ธปท. ที่ระดับ 1-3%
การเติบโตของเศรษฐกิจที่โดดเด่น บวกกับสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของไทย ยังช่วย หนุนให้Fund Flow ซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงสุดในอาเซียนในปี 2565 กว่า 5.9 พันล้านเหรียญ หรือ 2.03 แสนล้านบาท และยังเห็น Momentum ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อ โดยซื้อสุทธิ ทุกวัน มีมูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท (ytd) สูงสุดในกลุ่ม TIP
อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมาเร็วไม่ถึง 3 เดือน แข็งค่ากว่า 13% (จากจุดพีค 38.41 บาท/เหรียญ ณ 21 ต.ค. 65) เริ่มเข้าใกล้แนวรับที่ 33 บาท/เหรียญ พร้อมกับ ดัชนีที่ขึ้นมาเร็ว หากดัชนีสูงเกิน 1700 จุด Fund Flow อาจผลักดันดัชนีให้ขึ้นได้ น้อยลง แต่ก็ยังคอยช่วยพยุงดัชนีให้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ หรือผันผวนน้อยกว่าตลาด หุ้นโลกได้
กลยุทธ์แนะนำ Trading กลุ่มหุ้นที่ได้รับความสนใจในปีนี้ โดยวัดจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อ วันในปีนี้ (ytd) เทียบกับค่าเฉลี่ยในเดือน ธ.ค. 2565 พร้อมกับให้ผลตอบแทนเป็นบวก (ytd) ได้ผลลัพธ์กลุ่มหุ้นที่ได้รับความสนใจคือ กลุ่ม BANK, ETRON, PKG, TOURISM, COMM, CONS, STEEL เป็นต้น
และหุ้นขนาดกลาง - ใหญ่ ที่ได้รับความสนใจลงทุนเด่นขึ้นในปีนี้ โดยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย ในปีนี้ (ytd) สูงกว่าในเดือน ธ.ค. กว่า 1 เท่าตัว ดังตารางทางด้านล่าง ชอบ BBL, SCB, CBG, ERW, STEC เป็นต้น
สรุป แม้ Fund Flow จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว ตลาด หุ้นที่ขึ้นมาแรง หากดัชนีสูงเกิน 1700 จุด Fund Flow เป็นเพียงตัวช่วยพยุงดัชนีให้ผัน ผวน ดังนั้นการเลือกหุ้นอาจจะต้อง Selective มากขึ้น
ส่วน Top pick วันนี้แนะนำ ERW, THANI, GULF
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities