ปัจจัยแวดล้อมในต่างประเทศ เน้นไปที่ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคาร กลางต่างๆ ที่แคบลง หลังจากอัตราเงินเฟ้อภาพรวมปรับตัวลดลงทาง Technical กล่าวคือ อัตราเปลี่ยนแปลง YoY ลดลง แต่ไม่ได้เกิดจากราคาสินค้า-บริการลดลง แต่เป็นเพราะฐาน CPI ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมายกสูงขึ้น ส่วนในประเทศ สัญญาณการเข้าใกล้สู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ สังเกตุได้ จากการเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง และ ส.ส. ที่เข้าสู่โหมดเตรียมพร้อมเลือกตั้ง มากขึ้น ในเชิงการลงทุนเราให้ความสำคัญกับหุ้นที่ Outperform ในช่วงใกล้การ เลือกตั้ง ทั้งนี้โดยภาพใหญ่ของ SET Index พบว่าการซื้อหุ้นก่อนการเลือกตั้ง ประมาณ 3 เดือน และเมื่อผ่านสัปดาห์แรกของการเลือกตั้งจะให้ผลตอบแทนสูงสุด ราว 7.7% กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงคือ ICT, สื่อโฆษณา, ค้าปลีก และ รับเหมาฯ
คาดว่า SET Index น่าจะยังมีMomentum แกว่งตัวในทิศทางขึ้น ประเมินกรอบ การเคลื่อนไหววันนี้ช่วง 1665 – 1685 จุด หุ้น Top Pick เลือก BEC, SCB และ STEC โดยเป็นหุ้นที่น่าจะ Outperform ในช่วงใกล้การเลือกตั้ง
ทิศทางดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้นอย่างจำกัด หนุนตลาดหุ้นระยะสั้น
ตลาดหุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นมาแรงเมื่อวันศุกที่ผ่านมา โดนในฝั่งสหรัฐปิดตัวในแดน 2.1% ถึง 2.6% ส่วนฝั่งยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 0.9% ถึง 1.5% โดยตลาดกลับมาให้น้ำหนักกับเรื่อง เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังปรับตัวลงมาช่วงเดือน ธ.ค. 65 จากความกังวล Recession
สำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐเริ่มเห็นแนวโน้มค่อนข้างจำกัดในปี 66 โดยผลการ สำรวจของ Fed Watch Tool คาดสูงสุดอยู่ที่ 5.0% หลังจากแนวโน้มตลาดแรงงานที่ อ่อนแอลง ซึ่งอาจทำให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนลดลง จนทำให้เศรษฐกิจใน ภาพรวมเข้าสู่ภาวะ Recession ได้ในท้ายที่สุด รายละเอียดดังนี้
• การจ้างงานนอกภาคเกษตร ลดลงจาก 256,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ย. เป็น 223,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. (สูงกว่าคาดที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง)
• ค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ลดลงจาก +4.8% ในเดือน พ.ย. เป็น +4.6% ในเดือนธ.ค. (ต่ำกว่าคาดที่ช 5.0%) และยังเป็นอีกหนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้ ว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุด
• ดัชนีภาคบริการของสหรัฐ ปรับตัวลงจากระดับ 56.5 ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 49.6 จุด ในเดือนธ.ค. (ต่ำกว่าคาดที่ระดับ 55.0 จุด) ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี บ่งชี้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ได้ช่วยลดความร้อนแรงเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะที่ฝั่งยุโรป มีการปรับตัวลดลงของอัตราเงินเฟ้อเดือน ธ.ค. อยู่ที่ระดับ 9.2% ลดลงเป็น เดือนที่ 2 ติดต่อกัน แต่ทั้งนี้การลดลงดังกล่าวเป็นไปในทาง Technical จากฐานราคาปีที่ ผ่านมาอยู่ในระดับสูง จึงคาดว่า ECB จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปปสู่ระดับ 3.5% (ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.5%) เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2%
สรุป ปัจจัยบวกเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อลดลง-การขึ้นดอกเบี้ยมี Upside เข้ามาช่วยหนุน ให้ตลาดหุ้นต่างประเทศดีดตัวในช่วงสั้น อย่างไรก็ตามในระยะยาวยังคงต้องติดตาม เรื่องเศรษฐกิจ Recession อย่างใกล้ชิด จากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ Manufacturing PMI, Retail Sales, Foreign Reserve , Non-Farm Payroll ฯลฯ
ทุนสำรองระหว่างประเทศ มีโอกาสกลับสู่ระดับเดิมช่วงปี 2021 หนุนค่าเงิน บาทแข็งค่าต่อเนื่อง
จากการที่จีนเปิดประเทศ ตั้งแต่ 8 ม.ค.66 สร้างความคาดหวังเชิงบวกต่อภาคการ ท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของไทย โดยประเมินว่ายังแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล และ ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย เพิ่มขึ้น โดยเดือน ธ.ค.65 อยู่ที่ 0.217 ล้านล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 หลังจาก ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในเดือน ก.ย.65 ที่อยู่ระดับ 0.199 ล้านล้านเหรียญฯ ซึ่งเงินทุนสำรอง ระหว่างประเทศ และ ค่าเงินบาทมีค่า Correlation ระหว่างกัน -0.86
โดยข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงคมนาคมจีนคาดว่าประชากรจีนจะเดินทางมากกว่า 2 พันล้านคน ในช่วง 1Q66 +99.5%YoY หรือราว70.3% ของจำนวนการเดินทางในปี 2562 ซึ่งตลาดคาดว่า 1Q66 นักท่องเที่ยวชาวจีนจะเดินทางเข้าไทยทะลุ 3 แสนคน (จำนวน มากกว่าตลอดทั้งปี65 หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า) และปี 66 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยคิดเป็น 50% ของปี62 ประเด็นดังกล่าว ทำให้ค่าเงิน บาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไป (แนวรับถัดไปของค่าเงินบาท คือ 33.0 - 33.5 บาท/เหรียญฯ) ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีเสน่ห์ และดึงดูด Flow ต่างชาติให้ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ ซึ่งปีที่ผ่านมาต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า 2.02 แสนล้านบาท
สรุป เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังมีโอกาสเติบโตได้เด่นจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก หนุนให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศกลับสู่ ระดับ 0.25 ล้านล้านเหรียญฯได้ในไม่ช้า สำหรับหุ้นเก็งกำไรรับกระแส China Play แนะนำ BDMS, AOT (BK:AOT), ERW, IRPC, PTTGC, IVL, SCC, M, MINT, HMPRO, BEM, CBG
คัดหุ้นเด่นรับกระแสเลือกตั้งปี 2566
เริ่มเห็นกระแสการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งการโปรโมทนโยบายพรรคการเมืองต่างๆ, การ ย้ายพรรคของ ส.ส. ซึ่งหากยึดเวลาครบวาระของสภาผู้แทนราษฎร กำหนดแผนจัดการ เลือกตั้งทั่วไป จะเป็นวันที่ 7 พฤษภาคม 66 แต่ถ้ามีการยุบสภา ต้องกำหนดให้มีการ เลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่ 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาฯ มีผล บังคับใช้แสดงว่าปัจจุบันเหลือเวลาประมาณ 3 เดือนกว่าๆ ก็จะมีการเลือกตั้งครั้งที่ 29 ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการศึกษาหาผลตอบแทนตลาดหุ้นช่วงก่อนและหลังวันเลือกตั้งที่ดี ที่สุดในปีพ.ศ. 2544 – 2562 พบว่า SET Index มักให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 3 เดือน ก่อน การเลือกตั้งเฉลี่ย 3.9% และในช่วงสัปดาห์แรกของการเลือกตั้งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่ม อีก 3.8% สรุปคือ SET Index มักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่มีกระแสเลือกตั้ง โดยเฉพาะ ในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งถึงหลังเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ SET Index มีโอกาสให้ ผลตอบแทนสูงถึง 7.7%
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ยังทำการค้นหากลุ่มและหุ้นที่มักจะ Outperform SET Index ได้ดี ในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งปี 2544 -2562 (โดยไม่นับ 1 สัปดาห์แรกหลังการเลือกตั้ง มาคิด น่าจะสอดคล้องกับเหตุการณ์ ณ ปัจจุบันมากว่าที่ยังไม่รู้ว่าพรรคการเมืองไหนเป็น รัฐบาล) ผลลัพธ์ได้กลุ่มหุ้นที่ Outperform อย่าง ICT +9.4%, MEDIA +7.8%, COMM +6.4%, FOOD +5.5%, FIN 5.2%, CONMAT 4.8%, BANK 4.3%, CONS (ก่อนปี 2557 หุ้นในกลุ่ม CONS อยู่ในกลุ่ม CONMAT)
ส่วนหุ้นที่ Outperform เด่น คือ STPI +21.5%, SC +18.7%, BEC 16.8%, MAKRO 16.5%, TKS 16.3%, MAJOR 14.7%, INTUCH 13.8%, ADVANC 13.3%, MINT 12.4%, THCOM 12.2%, CENTEL 11.6%, STEC 10.5%, NWR 9.2%, BBL 7.7%, PLANB 7.6%, AP 7.2%, SCC 5.9%, AMATA 4.6% ขณะที่ SET +3.9%
Top pick หุ้นเด่นธีมเลือกตั้ง เลือกหุ้นที่ราคา Laggard (ตังแต่ต้นปี 2021 ถึงปัจจุบันยังให้ ผลตอบแทนติดลบ) และ Valuation ดี (Upside > 0) คือ STPI, NWR, BEC, ADVANC, MAJOR, SCC, STEC, INTUCH, PLANB
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities