🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

กลับมาอยู่ในภาวะผันผวนอีกครั้ง

เผยแพร่ 06/01/2566 09:48
อัพเดท 09/07/2566 17:32
SETI
-

เงินเฟ้อในประเทศเดือน ธ.ค.65 เป็นไปตามคาดที่ 5.89% ขณะที่ตัวเลข MOM ติด ลบ 0.06% ยังถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับทิศทางเงินเฟ้อ โดยฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อบ้านเราจะลงไปอยู่ในกรอบนโยบายในช่วงปลาย 2Q66 ภายใต้ สภาวะดังกล่าวทำให้เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป (0.25% ต่อครั้ง รวม 1 – 2 ครั้งในปี 2566) ในมุมของเป้าหมาย SET Index หาก ปรับขึ้น 1 ครั้ง จะอยู่ที่ 1740 จุด และหากปรับขึ้น 2 ครั้งจะอยู่ที่ 1677 จุด (บน สมมุติฐาน Market Earning Yield Gap 4.2%) สำหรับสถานการณ์ตลาดแรงงาน ในสหรัฐ หากพิจารณาจากตัวเลข จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน เห็นว่ายังอยู่ ในภาวะที่แข็งแรง แต่ในอีกทางหนึ่งกลับปรากฎกระแสบริษัทขนาดใหญ่ต่างมีแผน ลดจำนวนพนักงาน ซึ่งถือเป็นความย้อนแย้ง ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป

ประเมินว่า SETIndex น่าจะอยู่ในภาวะผันผวน กำหนดกรอบการเคลื่อนไหววันนี้ ช่วง 1654 – 1670 จุด หุ้น Top Pick วันนี้เลือก ADVANC, AOT (BK:AOT) และ STEC ทั้งนี้ ในพอร์ตควรมีเงินสดสำรองไว้ระดับหนึ่ง เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนในระยะต่อไป

หุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงแรง หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาด กังวล FED กลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ย

วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงราว 1% - 1.5% สวนทางกับ Dollar Index ที่กลับมาแข็ง ค่า 0.76% มาอยู่ที่ 105.04 จุด เป็นที่สังเกตว่านักลงทุนโยกย้ายเม็ดเงินจากสินทรัพย์เสี่ยง เข้าสู่สินทรัพบ์ปลอดภัยอีกครั้ง หลังตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ลดลง 19,000 ราย สู่ระดับ 204,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับ ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.65 และต่ำกว่าคาดไว้ที่ระดับ 225,000 ราย บวกกับรายงานการ จ้างงานภาคเอกชน ธ.ค.65 เพิ่มขึ้น 235,000 ตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ 153,000 ตำแหน่ง

ประเด็นดังกล่าว กระทบต่อตลาดหุ้น เนื่องจากตลาดแรงงานของสหรัฐที่ยังแข็งแกร่ง อาจ กดดันให้ Fed ผ่อนคลายการใช้นโยบายทางการเงินตึงตัวช้ากว่า หรือ น้อยกว่าที่คาด สังเกตได้จาก FedWatch Tool ของ CME Group ที่บ่งชี้ว่า มีโอกาส 45.0% ที่ FED จะ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือน ก.พ.65 ซึ่งก่อน หน้านี้เพียง 1 วัน หรือ หลังการประชุม Fed Minute มีโอกาสเพียง 28.8% เท่านั้น ที่รอบ ก.พ.65 จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดอาจพบความขัดแย้งในตัวเลขตลาดแรงงาน หลังหลายบริษัท ในกลุ่ม Tech ทยอยประกาศปลดพลักงานลงบ้าง เพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยตัวเลขการจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่งส่วนมากมาจากการจ้างงานภาคบริการ สะท้อนได้ จากตัวเลขดัชนี PMI ภาคบริการที่ยังสูงกว่าระดับ 50 รวมถึงค่าจ้างแรงงานรายชั่วโมงที่ ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิด-19 ทั้งนี้หากเริ่มมีการชะลอกิจกรรมทาง เศรษฐกิจในภาคบริการอาจเริ่มเห็นการปลดพนักงงาน ส่งผลให้การจ้างงานเริ่มลดลง และ อัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นหนึ่งในตัวแปรที่สร้างแรงกดดันให้ตลาดเกิดความ กังวล Recession ได้ในอนาคต

สรุป ตัวเลขเศรฐกิจที่ออกมาดีของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดคาดว่า FED จะยังคงใช้นโยบาย ทางการเงินเชิงรุกต่อไป ขณะที่ความกังวล Recession ยังมีอยู่ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงต้องใช้เวลาสักระยะ กว่าที่จะกลับมา Outperform อีกครั้ง

ทั้งปี 65 เงินเฟ้อไทย +6.08% ส่วนดอกเบี้ยนโยบายขยับขึ้นช้าๆ

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือน ธ.ค. 65 ปรับตัวสูงขึ้น 5.89%YoY (ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยที่ ระดับ 5.90%) และ -0.06%MoM ตามราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและพลังงาน ประกอบกับ ฐานราคาในเดือน ธ.ค. 64 ไม่สูงมากนัก และ Demand ภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น

ทำให้ตลอดทั้งปี 65 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.08% (ใกล้เคียงกับกระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 5.5 - 6.5%) ซึ่งถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 24 ปี นับตั้งแต่ปี 2541 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น เป็นเพราะอุปทานการ ผลิตพลังงานตึงตัวมากขึ้น หลังเผชิญกับปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ โรคระบาดในสุกร ปัญหาน้ำท่วม ฯลฯ ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อปี 66 ฝ่ายวิจัยฯ ได้นำการเติบโตเงินเฟ้อ (CPI) เดือนล่าสุดของไทย ที่ ระดับ -0.06% MoM มาคิดสมมุติฐานเงินเฟ้อในระยะถัดไป พบว่า CPI YoY จะทยอย ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจากระดับ +5.99%YoY ในเดือนธ.ค. 65 มุ่งสู่ระดับ +2.7% YoYเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของ ธปท. ที่ระดับ 1-3% ในเดือน มี.ค. 66

อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อไทยที่ทรงตัวในระดับสูง อาจจะยังเห็นการขยับขึ้นของอัตรา ดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดการร์ว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้ง เป็น 1.75% ในปี 66 กลับขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต โควิด-19 ทั้งนี้การรักษาเสถียรภาพทางการเงินดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนให้เงินบาท แข็งค่าต่อได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ Upside ของตลาดหุ้นไทยถูกจำกัดอยู่ราว 1,667 – 1,740 จุด

สรุป แม้เงินเฟ้อไทยปี 65 อยู่ในระดับสูง แต่ก็มีแนวโน้มปรับลดลง ส่วนทิศทางอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566 คาด กนง. พิจารณาปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ถือเป็นปัจจัยที่จำกัด Upside ของ SET Index

เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยตั้งแต่ 8 ม.ค. นี้

จากการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีนที่จะเริ่มเดิน ทางเข้าประเทศไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้

• นักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศที่มีเงื่อนไขตรวจ RT-PCR ก่อนกลับประเทศต้นทาง ให้ทำประกันสุขภาพก่อนเข้าประเทศไทย ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ททท. กรณีนักท่องเที่ยวจีนจะ ทำประกันสุขภาพมาจากประเทศจีนมีราคาประมาณ 80 หยวน (400 บาท) ครอบคลุมค่า รักษาพยาบาล ประมาณ 8 แสนหยวน (4 ล้านบาท)

• ประเทศที่ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ก่อนกลับประเทศ ใช้การออกคำแนะนำที่ระบุว่า ควรให้ซื้อประกันสุขภาพ (Strongly Recommend) ในการซื้อประกัน

• นักเดินทางที่จะเข้าไทยรวมทั้งนักเดินทางจากประเทศจีนฉีดวัคซีนโควิด 19 อย่าง น้อย 2 เข็ม

• แนะนำให้พักในโรงแรม SHA+ ซึ่งจะมีบริการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ตรวจหา RTPCR ก่อนออกจากประเทศไทย

• การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในประเทศไทย อนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถรับวัคซีน โควิด-19 ได้ โดยจะมีการฉีดค่าใช้จ่ายให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการรับวัคซีน โดยจะคิด ค่าใช้จ่ายในราคาต้นทุน

ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางต่อมาตรการดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้กีดกันการต้อนรับ นักท่องเที่ยวจีน สำหรับการบังคับทำประกันสุขภาพมองว่าเบี้ยประกันตามข้างต้นที่ 400 บาท คิดเป็นสัดส่วนเล็กน้อย เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายต่อทริปเวลามาไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 - 5 หมื่นบาท ต่อคน (อิงข้อมูลปี 2562) กอปรกับนักท่องเที่ยวบางส่วนเวลาเดินทางอาจมีการ ทำประกันเดินทางไว้อยู่แล้ว โดยรวมคงมุมมองนักท่องเที่ยวจีนทยอยเดินเข้าไทยมากขึ้น ช่วง 2H66 คาดหนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเร่งตัวมาที่ 20 กว่าล้านคน จาก 11.8 ล้านคนในปี 2565

คงแนะนำลงทุนเท่ากับตลาดสำหรับกลุ่มฯ เลือก AOT(FV@B80) รับประโยชน์มากสุด จากการเปิดประเทศไทย ตามด้วย ERW(FV@B5.10) จากสัดส่วนรายได้มาจากโรงแรม ในกรุงเทพมากสุดในกลุ่มฯ มองว่ากรุงเทพฯ เป็นเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวกำลัง ซื้อสูงทั่วโลก และ MINT(Fv@B38) ราคาหุ้น Laggard กลุ่มฯ สวนทางการดำเนินงาน

โรงไฟฟ้า หนึ่งในกลุ่มน่าลงทุน ชอบ GULF RATCH EGCO

ภาพรวมกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ คาดการณ์กำไรปี 2566 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 18%yoy หนุนหลักมาจาก GULF ที่เห็นการเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งราว 42%yoy จากการรับรู้ โครงการใหม่ที่คาดจะ COD เข้ามาในปี 2566 ราว 1.5-1.7 พันเมกะวัตต์ รวมถึงกลุ่ม โรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงอย่าง BGRIM และ GPSC ที่คาดจะได้รับอานิสงค์จากค่า Ft ที่เพิ่มและทิศทางราคาก๊าซฯที่คาดจะเริ่ม ทยอยปรับตัวลดลง ส่งผลให้แนวโน้มกำไรเห็นการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำในปี 2565 อย่างไรก็ ตามแม้กำไรที่คาดจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้น แต่คาดยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยัง ไม่สามารถกลับมาสู่สภาวะปกติเทียบเท่ากับปี 2564 ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีถ่านหินเป็น สัดส่วนหลักอย่าง BPP คาดเห็นการปรับตัวขึ้นของกำไรราว 15%yoy จากต้นทุนถ่านหินที่ คาดจะค่อยๆปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน

ในส่วนของกลุ่มของโรงไฟฟ้า IPP อย่าง RATCH, EGCO ที่ต้นทุนพลังงานส่วนใหญ่จะ ส่งผ่านไปยังภาครัฐ (EGAT) ได้เกือบทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงของราคาพลังงานจึงคาดส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทไม่มาก จึงคาดจะเห็นกำไรจากการดำเนินงานแปรผันตาม การเรียกซื้อไฟฟ้าจากทางภาครัฐ โดยในปี 2566 คาด RATCH จะมีกำไรเพิ่มขึ้นราว 14%yoy หนุนหลักจากการเตรียมรับรู้โครงการใหม่ๆราว 900 เมกะวัตต์ ขณะที่ EGCO คาดกำไรลดลง 22%yoy กดดันจากฐานกำไรที่สูงผิดปกติในปี 2565 จากโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพาจู ประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้รับผลบวกจากการทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯล่วงหน้า จึง มีอัตรากำไรที่สูงกว่าปกติในงวด 1Q65

สำหรับ top picks กลุ่มฯ ฝ่ายวิจัยเลือก GULF ที่เห็นการเติบโตของกำไรขึ้นอย่าง แข็งแกร่งในช่วง 5 ปีข้างหน้า และเลือก RATCH, EGCO สำหรับการลงทุนที่เน้นการ จ่ายปันผลที่สม่ำเสมอราว 4-5% ต่อป

หุ้นไทย UPSIDE จำกัด ต้อง ROTATE ให้ถูก SECTOR

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาจน Upside ค่อนข้างจำกัด แม้ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินกำไรบริษัท จดทะเบียนปีนี้โต 6% แต่ถูกกดดันจากแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยของกนง. (คาดอยู่ที่ 1.5% - 1.75%) กดดันเป้าหมายดัชนีอยุ่ในกรอบ 1664 – 1740 จุด อีกทั้งปัจจุบันยังถูกกดดันจาก ความกังวลเศรษฐกิจโลกซบเซา

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับความผันผวนจากหุ้น DELTA ที่วานนี้เริ่มปรับตัวลง 106 บาท หรือ -11.6% กดดัน SET Index -10.8 จุด ซึ่งยังมีโอกาสผันผวนอยู่ จากราคา หุ้นที่ไม่สอดคล้องกับหุ้นแม่, Valuation อยู่ในระดับสูงอยู่ (รายละเอียดตามที่ฝ่ายวิจัยฯได้ นำเสนอในบทวิเคราะห์ Market Talk วันที่ 5 ม.ค. 65)

กลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัยแนะนำ Rotation ไปกลุ่มหุ้นที่กำไรมึแนวโน้มเติบโตแรง กว่าตลาด อาทิ กลุ่ม TOURISM (CENTEL), CONS (CK, STEC), TRANS (AOT), MEDIA (PLANB, BEC, MAJOR), COMM (COM7, HMPRO),PKG (SCGP), FOOD (MINT), ICT (ADVANC) เป็นต้น

นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ยังหาหุ้นที่มักเคลื่อนไหวไมได้ไปในทิศทางเดียวกับ DELTA อยู่ บ้าง สะท้อนจากค่า Correlation ที่ติดลบกับ DELTA อาทิ EGCO, AOT, CK, ADVANC, AAV, BEM, WHA, BLA, LH, THANI ซึ่งหุ้นดังกล่าวยังอยู่ในกลุ่มหุ้นน่า ลงทุนในปีนี้ADVANC, AOT, CK

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย