การปรับตัวขึ้นมาของ SET Index ช่วง 4 วันทำการ ของสัปดาห์สุดท้ายปี 2565 ที่ มากถึง 43.65 จุด จนมายืนเหนือ 1661 จุดได้ ถือเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย และ หากประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ก็ยังมีแรงหนุนจากตลาดหุ้น ต่างประเทศที่ปรับขึ้น จึงเชื่อว่า SET Index อาจมีลุ้นปรับขึ้นไปเข้าใกล้ 1670 จุด ได้ ถือเป็นการจบปี 2565 ที่สวยงาม สำหรับแนวโน้มในปี 2566 ตลาดหุ้นบ้านเรา มีแรงหนุนจากภาพเศรษฐกิจที่เติบโต แต่ก็มีแรงกดดันจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะ เป็นภาวะ Recession ของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ความเสี่ยง เชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น การจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในบ้านเรา และ อัตรา ดอกเบี้ยนโยบายที่ยังขยับขึ้นต่อ ภาพดังกล่าวอาจทำให้ Upside ตลาดมีไม่มาก แต่การปรับกลยุทธ์ที่เหมาะสมก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี สุดท้ายนี้ขอให้นัก ลงทุนทุกท่าน มีความสุข และร่ำรวยยั่งยืน ในปี 2566 Happy new year ครับ
SETIndex ทะลุผ่านแนวต้าน 1650 จุด อย่างง่ายดาย ด้วยแรงกระตุ้นของตลาด หุ้นต่างประเทศที่เป็นบวก น่าจะทำให้เห็นโอกาสขยับขึ้นได้ต่อ โดยมีแนวต้านที่ 1670 จุด และแนวรับที่ 1650 จุด หุ้น Top Pick เลือก AP, ASK และ HMPRO
DOWNSIDE ราคาน้ำมันดิบยังมี กดดันประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มน้ำมัน อย่าง PTT (BK:PTT) และ PTTEP
ภาวะปัจจุบันแม้การเปิดประเทศของจีนจะหนุนให้ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวในช่วง 2 สัปดาห์ที่ ผ่านมากว่า 5% แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯที่ยังมีโอกาสเข้าสู่ ภาวะ Recession ยังมีอยู่ยังเป็นปัจจัยทำให้การฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบเป็นไปอย่าง จำกัด โดยหากศึกษาช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะ Recession 3 รอบหลังสุด (วิกฤต Dot Com ในปี 2002 , วิกฤต Sub Prime ในปี 2008 และวิกฤต Covid-19 ในปี 2020) พบว่าราคาน้ำมันดิบปรับลงเฉลี่ย -49% กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานปรับลงเฉลี่ย 31% โดย มุมมองฝ่ายวิจัยฯประเมินทิศทางของราคาน้ำมันดิบรอบวิกฤต Sub Prime ในปี 2008 ที่ จะพบว่ามีการปรับขึ้นในช่วงแรกจากความกังวล Supply หายไป หลังเวเนซุเอลาไม่ขาย น้ำมันให้ Exxon, ความไม่สงบในอิรัก, เกิดการประท้วงในไนจีเรีย เป็นต้น แต่สุดท้ายแรง กดดันจากฝั่ง Demand จาก Recession มีมากกว่าทำให้ราคาน้ำมันปรับลงจาก 140 เหรียญฯมาที่ 45 เหรียญฯ ซึ่งคล้ายคลึงกับรอบปัจจุบันที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นจาก สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้ราคาปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 123 เหรียญฯก่อนที่จะปรับ ลดลงจากความกังวลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯรวมถึงยุโรป
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯกำหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2566 อยู่ที่ 90 เหรียญฯและ ราคาน้ำมันดิบระยะยาวตั้งแต่ปี 2567 ที่ 75 เหรียญฯ ซึ่งในกรณีเลวร้ายหากราคา น้ำมันดิบในปี 2566 ลงไปเท่ากับสมมติฐานระยะยาวที่ 75 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ ประมาณการ PTT และ PTTEP ปรับตัวลดลง 25.1% และ 19.2% จากประมาณการ ปัจจุบัน และมูลค่าพื้นฐานจะลดลงเหลือ 41.5 และ 166 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ ซึ่งระดับ ราคาปัจจุบัน PTT ที่อยู่ระดับ 32.75 บาท จึงแนะนำซื้อสำหรับการลงทุนระยะยาว ขณะที่ ราคา PTTEP ที่ระดับ 176.00 บาทถือว่า Upside จำกัดจึงยังคงแนะนำ Switch
ขณะที่หากมองในมุมของรอบการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของราคาน้ำมันดิบพบว่ามักจะฟื้นได้ ก่อน Recession เสมอ โดยจุดที่ Bottom ของราคาน้ำมันดิบมักจะเกิดในช่วงที่ตลาด Price In กับความเสี่ยงของ Recession ไปอย่างเต็มที่สะท้อนได้จากช่วงที่ราคาน้ำมันดิบ ทำจุด Bottom ในช่วงปีวิกฤต Subprime และ COVID-19 พบว่าความน่าจะเป็นในการ เข้าสู่ Recession ของสหรัฐฯ โดย Bloomberg ให้ความน่าจะเป็น 100 %
ท่องเที่ยวไทยยังมี UPSIDE หนุนเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง
การประกาศเปิดประเทศของจีนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังคุมโควิดอย่างเข้มงวดมานาน กว่า 3 ปีมีผลต่อทั่วโลกในหลายมิติทั้งในแง่เศรษฐกิจ การเพิ่มยอดการเดินทางออกนอก ประเทศ การค้า การลงทุน รวมถึงในแง่มาตรการทางสาธารณสุขที่มีความกังวลต่อจำนวน ผู้ติดเชื้อในจีนพุ่งสูง ทำให้หลายประเทศออกมาตรการเข้มงวดในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จากผู้ที่เดินทางมาจากจีน ก่อนเข้าประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ไต้หวัน, อินเดีย, สหรัฐ ฯลฯ ขณะที่ล่าสุดอิตาลีเตรียมดำเนินมาตรการดังกล่าว หลังพบผู้ที่เดินทางมาจากจีน มากกว่า 50% เป็นผู้ติดเชื้อ พร้อมกันนั้นยังเรียกร้องให้ EU เข้มงวดกับการตรวจเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บ้านเรายังพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนที่จะทยอยเข้ามามากขึ้นในช่วง ปลาย 2Q66 ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เป็นแรงหนุนให้ดุล บริการและดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในระยะถัดไป (ล่าสุดดุลบัญชี เดินสะพัดเดือน พ.ย. ขาดดุล -0.4 พันล้านเหรียญฯ จากดุลการค้าที่เกินดุลลดลงซึ่งมาจาก ภาคการส่งออกที่หดตัวเป็นหลัก) ขณะเดียวกัน ธปท. เตรียมปรับประมาณการจำนวน นักท่องเที่ยวปี 66 เพิ่มขึ้นจากเดิม 22 ล้านคน พร้อมกับตัวเลข GDP ที่อาจขยายตัวมาก ขึ้น หากจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากว่าประมาณการที่ตั้งไว้ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าว ฝ่าย วิจัยคาดว่าจะทำให้เงินบาททรงตัวในกรอบแข็งค่าต่อไป หรืออยู่ในกรอบ 33-34 บาท/ เหรียญฯ ถือเป็นหนึ่งแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิหุ้นไทยในระยะถัดไป
สรุป แม้จีนผ่อนคลายมาตรการ Covid-19 มากขึ้นแต่หลายประเทศยังคงกังวลว่าผู้ติด เชื้อในจีนที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ไวรัสกลายพันธุ์ อย่างไรก็ตามไทยพร้อมต้อนรับรวมถึง เตรียมรับมือกับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่คาดจะทักลักมากขึ้นในปีหน้า หนุนเศรษฐกิจ เติบโตต่อเนื่อง ถือเป็นหนึ่งแรงที่ช่วยผลักดัน SET มุ่งสู่ระดับ 1,740 จุด (Target 2566F)
ความเห็นต่อ กระแสข่าว BCP ซื้อ ESSO ในมุมของฝ่ายวิจัยฯ
มีกระแสข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นเช้านี้ว่า BCP กำลังเตรียมเข้าซื้อกิจการ ESSO จากผู้ ถือหุ้นเดิม หลังจากมีการเจรจาซื้อขายหุ้น ESSO กันมาตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา โดยมี รายงานว่าราคาซื้อขายหุ้น ESSO จะอยู่ระหว่าง 12-14 บาทต่อหุ้น และ BCP จะมีการ นำเข้าที่ประชุมบอร์ดเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 9 ม.ค.2566
ซึ่งประเด็นข่าวการเข้าซื้อกิจการ ESSO ในครั้งนี้ถือไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ก็มี ประเด็นข่าวว่า TOP สนใจเข้าซื้อ ESSO (เมื่อช่วงปี 2554-2555) แต่ดีลก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่ง ประเมินว่าน่าจะเป็นในเรื่องของราคาที่ไม่เป็นที่ยอมรับทั้ง 2 ฝ่าย และในครั้งนี้ถือเป็นอีก ครั้งที่เกิดขึ้นแต่เปลี่ยนผู้ซื้อเป็น BCP แทน ซึ่งในกรณีของ BCP หากเข้าซื้อจะเห็นว่า synergy ที่จะเกิดขึ้นอาจไม่มากเท่า TOP ซื้อ ESSO เนื่องจากสถานที่ตั้งที่อยู่คนละแห่ง โดย ESSO ตั้งอยู่ จ.ชลบุรี ติดกับโรงกลั่น TOP รวมถึงโครงสร้างผลิตภัณฑ์ที่ ESSO มี สายการผลิตทั้งโรงกลั่น และโรงงานอะโรเมติกส์เหมือน TOP ขณะที่ BCP มีส่วนที่เหมือน ESSO คือสายธุรกิจโรงกลั่น แต่หาก BCP เข้าซื้อกิจการก็จะส่งผลให้กำลังการผลิตของโรง กลั่นเพิ่มได้อีกกว่าเท่าตัว เนื่องจาก ESSO มีกำลังการกลั่นอยู่ราว 1.7 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่ BCP มีกำลังการกลั่น 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน และจะเพิ่มสถานีบริการน้ำมัน เพิ่มขึ้นเป็น 2.1 พันแห่ง จากปัจจุบัน 1.3 พันแห่ง และได้ธุรกิจอะโรเมติกส์กำลังการผลิต พาราไซลีน 5.0 แสนตันต่อปี เพิ่มเข้ามา ดังนั้นจึงประเมินว่าตัวแปรสำคัญสำหรับดีลการ เข้าซื้อกิจการของ ESSO ของ BCP น่าจะอยู่ที่ราคา ซึ่งทำให้เกิดการเก็งกำไรในราคาหุ้น ESSO เช่นในช่วงปี 2554 ที่มีประเด็นข่าวว่า TOP จะเข้าซื้อ ESSO ราคาหุ้น ESSO ได้ ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในกรอบเฉลี่ยราว 14 บาทต่อหุ้น ดังแสดงในกราฟด้านล่าง แต่ทั้งนี้ถ้าคำ เสนอซื้ออยู่ที่ราคาสูงก็จะไม่เป็นผลดีต่อ BCP เพราะจะไม่เกิดมูลค่าเพิ่มให้กับ BCP ในการ เข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ เพราะหากพิจารณาคาดการณ์กำไรของ Consensus ในปี 2565 ของ ESSO เพราะว่าอยู่ที่ 1.29 บาทต่อหุ้น เพราะในปี 2565 นี้ถือเป็นปีที่ดีของโรงกลั่น เพราะได้รับอานิสงค์จากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ในงวด 2Q65 ซึ่งหากประเมินจาก ค่าเฉลี่ย Fair Value ที่ประเมินใน Consensus ที่ 14 บาทต่อหุ้น พบว่า PER จะอยู่ที่ 10 เท่า แต่หากพิจารณาผลการดำเนินย้อนหลังของ ESSO ในปี 2563-64 พบว่าเผชิญกับผล ขาดทุนมาตลอด ดังนั้นจึงมองเป็นเพียงกระแสเก็งกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้สำหรับราคาหุ้น ESSO ขณะที่ BCP ในเชิงพื้นฐานฝ่ายวิจัยแนะนำ SWITCH ด้วยมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2566 ที่ 35 บาทต่อหุ้น
หุ้น INVEST PLUS น่าสนใจขนาดไหน ? MONTHLY PORTFOLIO ASPS (JAN – 28 DEC 22)
ตลอดปี 2022 เหตุการณ์สำคัญที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญ คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน, เกิด Technical Recession ในบางประเทศ, ธนาคารกลางหลายแห่งของโลก ดำเนินนโยบาย ทางการเงินเชิงรุก จนทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ออกมาในทางลบ ทั้ง Manufacturing PMI, Retail Sales, Foreign Reserve , Non-Farm Payroll เป็นต้น จึง ทำให้ตลาดหุ้นโลก(MXWO Index) ปรับลง 19.17%ytd ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 0.22%ytd ซึ่งมาจากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ยังอยู่ระดับต่ำ และปรับตัวขึ้นช้ากว่าประเทศ อื่นๆ, GDP Growth รายไตรมาสของไทยยังแข็งแกร่ง, การเปิดประเทศของจีนหลังการ แพร่ระบาด COVID-19 คลี่คลาย ส่งผลดีต่อไทยในมุมภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวเด่น
ส่วนแนวทางในการเลือกหุ้นลงทุน (Stock Selection) ในแต่ละเดือนถือว่าทำได้ดี โดย ภาพรวมหุ้น Top picks ที่แนะนำประจำเดือน (6 – 7 บริษัทต่อเดือน) สามารถชนะ SET Index ได้ดี เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนพิถีพิถันในการเลือก โดยเน้นหุ้นพื้นฐานดี มีแรง ขับเคลื่อนเฉพาะตัวในช่วงเวลานั้นๆ ตัวอย่างบริษัทที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นสุด ประจำเดือน ม.ค. – ธ.ค. 65 อาทิ IVL BH BJC SAPPE IVL CRC PLANB HMPRO COM7 ที่ได้ผลตอบแทน 9.8%, 8.9%, 7.5%, 18.9%, 8.8%, 11.0%, 14.9%, 8.1%, 4.70% ตามลำดับ เป็นต้น ช่วยหนุนให้ผลตอบแทนหุ้นเด่นที่แนะนำทั้งหมด (ให้น้ำหนักหุ้นแต่ละ ตัวเท่ากัน) ให้ผลตอบแทน (ม.ค. – 29 ธ.ค.65) +11.67% ขณะที่ SET Index ทำ ผลตอบแทน +0.22% หรือพอร์ตรวมสามารถชนะตลาด (Alpha) +11.45% และหาก พิจารณาเป็นรายเดือนจะเห็นได้ว่ามี 9 เดือน จาก 12 เดือนที่ผลตอบแทนของพอร์ตชนะ SET Index
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities