ผลจากการที่ BOJ ประกาศขยายกรอบ Bond Yield 10 ปีจากเดิมเคลื่อนไหวใน กรอบ -0.25% ถึง +0.25% มาเป็น -0.5% ถึง +0.5% ซึ่งถือเป็น Surprise ใน ตลาดการเงิน ส่งผลทำให้ตลาดการเงินต้องไปหาสมดุลใหม่ โดย Bond Yield 10 ปี ของญี่ปุ่นปรับขึ้นไปเหนือ 0.45% อย่างรวดเร็ว ผลักดันให้เงินเยนแข็งค่า และ Dollar Index แข็งค่า ขณะที่ตลาดหุ้นสำคำคัญทั่วโลก รวมถึง SET Index ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามเราเห็นว่าระดับการปรับลดลงวานนี้ได้ดูดซับผลกระทบ ดังกล่าวไปแล้ว ส่วนประเด็นในประเทศเป็นเรื่องของมติ ครม. ซึ่งอนุมัติPackage ของขวัญปีใหม่ ซึ่งมีตัวสำคัญเช่น ช้อปดีมึคืน 40,000 บาท, การลดค่าธรรมเนียม การโอนฯ-จดจำนอง ในการซื้อที่อยู่อาศัยลง และการมีมาตรการลดภาระค่าครอง ชีพลง ซึ่งมติ ครม. ดังกล่าวน่าจะเป็นผลดีต่อกลุ่ม Domestic Consumption
SETIndex มีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้น และมีโอกาสขึ้นมายืนเหนือ 1610 จุดได้อีกครั้ง วันนี้ประเมินกรอบที่ 1600 – 1620 จุด หุ้น Top Pick เลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก มาตรการของขวัญปีใหม่ AP, COM7 และ HMPRO
ญี่ปุ่นปรับนโยบายการเงินครั้งใหญ่ ตลาดการเงินโลกต้องหาสมดุลใหม่ แต่จะใช้เวลาไม่มาก
กาประชุม BOJ วานนี้ มีรายละเอียด ดังนี้
• คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม -0.1%
• จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น จาก 7.3 ล้านล้านเยน/เดือน เป็น 9 ล้าน ล้านเยน (6.75 หมื่นล้านดอลลาร์) /เดือน โดยมีเป้าหมายที่จะตรึง Bold Yield 10 ปีไว้ที่ 0%
• ขยายกรอบ Bond Yield 10 ปีของญี่ปุ่นให้เคลื่อนไหวในช่วง -0.5% ถึง +0.5% จากเดิมที่อยู่ในกรอบ -0.25% ถึง +0.25% ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ ค่อนข้าง Surprise ตลาด หลังจากที่ BOJ รักษาจุดยืนในการใช้นโยบายอัตรา ดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ (Ultralow Rate Policy) มาเป็นเวลานาน
ทั้งนี้ BOJ ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในครั้งนี้ ไม่ใช่การปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ย แต่มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสนับสนุน การเคลื่อนไหวของ Bond Yield ให้เป็นไปอย่างราบรื่น ควบคู่ไปกับการรักษาการผ่อน คลายนโยบายทางการเงิน หวังให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลง ต่ำกว่าเป้าหมายที่ ระดับ 2% ของ BOJ ตลอดปี 2566 (ปัจจุบันเงินเฟ้อญี่ปุ่นเดือน พ.ย. อยู่ที่ 3.8%YoY) ผลที่เกิดขึ้น คือ นักลงทุนกังวลว่าญี่ปุ่นจะหันมาใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินตามรอย ธนาคารกลางหลายแห่ง อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป จึงทำให้ Bond Yield 10 ปี ของญี่ปุ่นปรับขึ้น แรงจนเหนือจุดสูงสุดในปี 2015 ที่ระดับ 0.42% (เพิ่มขึ้น 68% ในวันเดียว)ขณะที่ประเทศ อื่น Bond Yield 10 ปีดีดตัวเช่นกันราว 4% - 7% และทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน
ประเด็นดังกล่าวกดดันตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่วานนี้ปรับตัวลงราว 2.5% และฝ่ายวิจัยฯวิเคราะห์ Market Earning Yield Gap ของญี่ปุ่นมีค่าเฉลี่ย 10 ปีอยู่ ที่ 5.7% ดังนั้นหาก Implied กลับในส่วนของ Bond Yield 10 ปี ที่ระดับ 0.25% เป็น 0.5% จะได้ดัชนี NIKKEI ลงมา 4% และหากเปรียบเทียบกับ SET Index ด้วยสมการ Regression คือ Y = 0.27X+0.003 (Y = ตลาดหุ้นไทย , X = ตลาดหุ้นญี่ปุ่น) SET Index มีโอกาสปรับตัวลงจากประเด็นนี้-1.08% เท่านั้น เทียบเท่าการปรับลงของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่ 4% ซึ่งระดับ SET Index ปัจจุบันอยู่ที่ 1604.44 จุด(วานนี้ปรับตัวลง 0.85%) ซึ่งการ ปรับตัวลงวานนี้ของ SET Index ใกล้เคียงกับสมมุติฐาน Regression สะท้อนถึงความ Price In ไประดับนึงแล้ว คาดเป็นโอกาสสะสมของนักลงทุนที่คาดหวังกำไรระยะกลางยาว
สรุป การปรับแผนครั้งใหญ่ของ BOJ ทำให้ Bond Yield 10 ปีหลายประเทศปรับตัว ขึ้นแรง และเม็ดเงินไหลจากสินทรัพย์เสี่ยงสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ภาพดังกล่าว กดดันตลาดหุ้นโซนเอเชียตามมา อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากสมการ Regression ของ 2 ตลาดหุ้น(ไทย-ญี่ป่น) จะเห็นได้ว่า SET Index ตอบรับประเด็นกรอบ Bond Yield 10 ปีของ BOJ ไประดับหนึ่งแล้ว ถือเป็นโอกาสสะสมตลาดหุ้นในระยะกลางยาว โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่ระดับ 1600-1620 จุด
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย “ของขวัญปีใหม่ 2566” มาตามคาด
ครม. อนุมัติหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้แก่ ประชาชน อาทิ การลดค่าครองชีพทั้งขยายเวลาบรรเทาผลกระทบราคาก๊าซ LPG และตรึง ราคาน้ำมันไปจนถึงต้นปีหน้า การยกเว้นค่ามอเตอร์เวย์และค่าโดยสารสาธารณะ รวมถึง มาตราการภาษีและค่าธรรมเนียมที่สำคัญ 5 มาตรการ เสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งคาด ว่าจะหนุนการใช้จ่ายและเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจได้ราว 2.78 แสนล้านบาท และ น่าจะช่วยดัน GDP ในปีหน้า ขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 0.76% รายละเอียดดังนี้
1. มาตรการ “ช้อปดีมีคืน ปี 2566” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 66 รวม ระยะเวลา 46 วัน โดยประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ มาทำการลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 40,000 บาทต่อคน ทั้งนี้อาจไม่รวมสินค้าและบริการบางประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร ก็ตามคาดว่าทางกรมสรรพากรอาจสูญเสียรายได้กว่า 8,200 ล้านบาทแต่จะทำให้ เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาทซึ่งคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ราว 0.20% ดีต่อ COM7, CRC, CENTEL, AEONTS ฯลฯ
2. มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี2566ขยายมาตรการเดิมออกไปอีก 1 ปี สิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 1% และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% (รายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป)
3. มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยปี 2566 โดยลดภาษีให้ 15% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษี ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของปีภาษี พ.ศ. 2566 (รายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป)
4. มาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นที่ นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานภายในประเทศ ลดลงจากลิตรละ 4.726 บาท เหลือลิตรละ0.20 บาท โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 66
5. มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรายาสูบและไพ่ตาม พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยยื่นคำขอได้ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 66
สรุป มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจ บ้านเรากลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ในปี 66 โดยพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หุ้นเด่นรับของขวัญปีใหม่จากทางรัฐบาล AP HMPRO COM7 เป็น Toppick ในวันนี้
ต่ออายุลดค่าโอนฯ-จดจำนอง และลดภาษีที่ดิน 15% สำหรับปี 2566
ที่ประชุม ครม. วานนี้ (20 ธ.ค. 2565) มีมติเห็นชอบขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนฯ จากเดิม 2% ของราคาประเมิน (ปกติแบ่งคนละ 1% สำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย) และค่าจด จำนองจากเดิม 1% ของมูลค่าที่จำนอง (ภาระผู้ซื้ออย่างเดียว) เหลืออย่างละ 0.01% สำหรับ ที่อยู่อาศัย (ทั้งบ้านมือ 1 และมอง 2) ที่มีราคาซื้อขาย และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปอีก 1 ปี สิ้นสุด ธ.ค. 2566 นอกจากนี้อนุมัติมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดย ลดภาษีในอัตรา 15% ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูก สร้างของปีภาษี พ.ศ. 2566
ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกระดับปานกลางต่อ 2 มาตรการข้างต้น ดังรายละเอียดดังนี้
ลดค่าโอนฯ-จดจำนอง - ถือเป็นมาตรการเดิมที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2563 และมีการขยาย เวลาต่อให้อีก 1 ปี โดยจะมีผลถึงสิ้นปี 2566 (เดิม สิ้นสุด 2565) และจะสร้าง Sentiment เชิงบวกปานกลางให้กับกลุ่มอสังหาฯ เนื่องจากยังถูกจำกัดสิทธิให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มราคาที่คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30% ของมูลค่าทั้งตลาดรวม โดยมุมมอง ฝ่ายวิจัยประเมินว่าหากมีการขยายเพดานสิทธิสู่บ้าน 5 ล้านบาท จะครอบคลุมได้ในวงกว้าง มากขึ้น เนื่องจากบ้านระดับถึง 5 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 50-60% ของตลาดรวม
อย่างไรก็ดีภายใต้การลดค่าธรรมเนียมโอนฯ และจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้าน 3 ล้านบาท ก็ถือเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับคนซื้อบางส่วน เพราะทำให้คนซื้อประหยัด ค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 19,850 บาท โดยจ่ายเพียง 150 บาทสำหรับบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท (ปกติค่าธรรมเนียมโอนฯ อยู่ในอัตรา 2% หรือ 2 หมื่นบาท โดยแบ่งคนละครึ่ง หรือ 1 หมื่น บาทสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย เมื่อมีการปรับลดเหลือ 0.01% หรือฝั่งละ 0.05% ทำให้ผู้ซื้อ ประหยัดไป 9,950 บาท ส่วนค่าจดจำนองปกติเป็นภาระของผู้ซื้ออย่างเดียว หากลดเหลือ 0.01% จากเดิม 1% ของวงเงินกู้ ดังนั้นหากกู้เต็ม 100% ทำให้เกิดการประหยัดไปอีก 9,900 บาท) ดังนั้นกรณีซื้อบ้านมูลค่าราคา 3 ล้านบาท และกู้เต็ม 100% (บ้านหลังแรก) จะ ทำให้ผู้ซื้อประหยัดค่าธรรมเนียมโอนฯ 29,850 บาทและจดจำนอง 29,700 บาท รวม ค่าใช้จ่ายลดลงทั้งสิ้น 59,550 บาท หรือจ่ายเพียง 450 บาท
ด้านฝั่งผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET แม้ไม่ได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายใน การโอนฯ ที่ลดลงอย่างมีนัยฯ เนื่องจากพอร์ตสินค้าส่วนใหญ่มีราคาเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป แต่ก็มีบริษัทที่ยังมีฐานสินค้าในกลุ่มนี้อยู่บ้าง ได้แก่ LALIN, LPN, PSH, QH, SENA และ SPALI เป็นต้น ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น อาทิเช่น SIRI, NOBLE, ORI, AP และ LH ก็เริ่ม มีการขยับพอร์ตสินค้าใหม่สู่กลุ่มราคาระดับล่าง (Affordable Price) มากขึ้น ย่อมมีโอกาส ได้ประโยชน์จากมาตรการนี้เช่นกัน หากมีสินค้าเสร็จพร้อมโอนฯ ในปีหน้าในกรอบราคา ดังกล่าว ทั้งนี้การมีมาตรการ เป็นส่วนช่วยให้ Backlog รวมสิ้น 3Q65 ระดับ 2.3 แสนล้าน บาท (รวม JV 8.63 หมื่นล้านบาท) เป็นส่วนที่พร้อมส่งมอบ 4Q65 ราว 9 หมื่นล้านบาท และ ปีหน้า 9.6 แสนล้านบาท ที่เข้าข่ายเกณฑ์ราคาตามมาตรการสามารถโอนฯ ได้ง่ายขึ้น รวมถึง กระตุ้นให้เกิดการระบายสต๊อกคงค้างของผู้ประกอบการที่มีอยู่รวม 6 แสนล้านบาท (เป็นส ต๊อกคอนโดฯ สร้างเสร็จ 1.2 แสนล้านบาท)
ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตรา 15% – โดยผลที่มีต่อภาคอสังหาฯ เพื่อขาย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มีภาระในส่วนของที่ดินว่างเปล่าที่ยังไม่ได้ พัฒนา ซึ่งมีอัตราจัดเก็บภาษีที่ดิน 0.3% (และเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี รวมกันไม่เกิน 3%) กล่าวคือที่ดินเปล่าราคา 1 ล้านบาท มีภาระภาษีปีแรก 3,000 บาท (และหากได้รับลดหย่อน 15% จะทำให้ภาษีลดลงเหลือ 2550 บาท หรือ ลดลง 450 บาท) แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบัน ผู้ประกอบการเกือบทุกราย นอกจากไม่มีนโยบายถือครองที่ดินเปล่าจำนวนมาก ส่วนใหญ่ ไม่ถือครองที่ดินเป็นเวลานาน รวมถึงบางรายก็มีการนำที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ออกมาขาย เพื่อลดต้นทุนการถือครองและเพิ่มสภาพคล่องในมือ ทำให้ประเด็นภาษีที่ดินจึงไม่มีผลต่อ ผู้ประกอบการอย่างมีนัยฯ ขณะที่ฝั่งผู้ซื้อ เนื่องจากการจัดเก็บภาษีที่ดินสำหรับประเภทที่ อยู่อาศัยปกติอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว เช่น ในส่วนบ้านหลังแรก (กรณีเป็นทั้งเจ้าของบ้านและ ที่ดิน) จะถูกเก็บเฉพาะบ้านที่มีราคาสูงเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป เริ่มต้นในอัตรา 0.02% (เช่น บ้านราคา 50 ล้านบาท เสียภาษีที่ดิน 1 หมื่นบาท) และ ในส่วนผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 ต้องเสีย ภาษีในทุกระดับราคา อัตราภาษีเริ่มต้น 0.02% กล่าวคือ บ้าน/คอนโดฯ ราคา 1 ล้านบาท เสียภาษี 200 บาท (หากการลดจัดเก็บลง 15% เสีย 170 บาท) จึงไม่ได้มีนัยฯ ต่อผู้ซื้อ เช่นกัน
โดยฝ่ายวิจัยคงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มฯ เลือกหุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จาก มาตรการดังกล่าว รวมถึงมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว มีระดับ Backlog สูง, พื้นฐานธุรกิจแข็งแรง รวมถึงให้ปันผลสูงกว่า 5-6% ได้แก่ LALIN (FV@B12.10), AP (FV@B15.50), ORI (FV@12.30) และ SPALI (FV@B28.60)
ตลาดประกาศหุ้นเข้าออก SET50 SET100(1H66)ชอบ COM7 RATCH
วานนี้ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื้อหุ้นเข้าออก SET50 และ SET100 รอบ 1H66 มีผล ในช่วง 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 66 โดยมีหุ้นเข้าออก SET50 4 คู่ และหุ้นออก SET100 7 คู่ ดัง ภาพทางด้านล่าง ซึ่งส่วนใหญ่รายชื่อเป็นไปตามที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินในช่วงก่อนหน้า
และตามสถิติในอดีตในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะหุ้นที่เข้า SET50 หุ้นมีโอกาสขยับขึ้นได้เฉลี่ย +2.6% ส่วนเข้า SET100 มักปรับขึ้นได้น้อย กว่าอยู่ที่ 0.5% ตรงกันข้ามกับหุ้นที่ถูกคัดออกมีโอกาสปรับตัวลดลงเฉลี่ย -3.3% ออกจาก SET100 -1.6%
หากมองข้ามไปกลางปี 2566 จะเห็นแนวโน้มการปรับหุ้นใน SET50 จากการเข้ามา ของหุ้นขนาดใหญ่ที่เพิ่งจดทะเบียนเข้าตลาดในปีนี้ อย่าง TLI, BTG รวมถึงอาจมีหุ้น IPO ขนาดใหญ่อย่าง SCGC หากเข้าจดทะเบียนในช่วงครึ่งแรกของปี2566 มีโอกาส Fast Track เข้าดัชนี SET50 ได้ ในช่วงเวลา 2H66 เช่นกัน จึงอาจจะเบียดให้หุ้นมี Market Cap เล็กสุด 3 อันดับสุดท้ายช่วงกลางๆ ปีหน้าใน SET50 ตกชั้นมาอยู่แค่ดัชนี SET100 ได้
กลยุทธ์การลงทุนจากประเด็นนี้ชื่นชอบหุ้นเข้า SET50 อย่าง RATCH(FV@51) ถือ เป็นหุ้น Deep Value มี PBV ต่ำเพียง 0.92 และคาดหวังปันผลได้สูงถึง 5.6% ต่อ ปีและ COM7(FV@47.5) ได้ประโยชน์จากมาตการ ช้อปดีมีคืน ซึ่งมีรายได้ต่อ 1 ใบเสร็จสูง
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities