งาน Analyst Meeting ของ BOT ข้อมูลที่ได้ยังแสดงสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่อง ของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 แรงขับเคลี่อนหลักมาจากภาคเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ฐานะการเงินดีขึ้นต่อเนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่กลับมาเป็นบวก ส่วน ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในมุมของ SET Index การที่ทิศทางดอกเบี้ยยังปรับขึ้นต่อ มีผลในการสร้างแรงกดดันต่อเป้าหมาย ดัชนีปี 2566 เป็นเพราะในคำนวณเป้าหมาย SET Index ฝ่ายวิจัยใช้เครื่องมือที่ เรียกว่า Market Earning Yield Gap ซึ่งตามกลไกแล้วหากดอกเบี้ยนโยบายปรับ ขึ้น ก็จะเป็นตัวกดดัให้ค่า PER ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง (ภายใต้สมมุติฐานให้ Market Earning Yield Gap คงที่) ทั้งนี้หากกำหนดสมมุติฐานให้ดอกเบี้ยนโยบาย ปี 2566 ปรับขึ้นรวม 0.5% เป้าหมาย SET Index จะอยู่ที่ 1667 จุด
คาดว่า SETIndex น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบบริเวณ 1610 – 1635 จุด ส่วน โอกาสที่จะเกิด Window Dressing มีน้อยมาก พิจารณาจากสัดส่วนการซื้อขาย ของนักลงทุนสถาบัน หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), COM7 และ CRC
ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวยังคงเข้ามาต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปรับตัวลงต่อราว -0.5% ถึง -1.5% ซึ่งถือเป็นการปิดตัวในแดนลบ ติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังการเดินหน้า ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของ Fed ในช่วงที่ผ่านมาขณะเดียวกัน Dollar Index ปรับตัวในกรอบแคบ และได้รับแรงกดดันมาจากกระแสข่าวที่ทางการญี่ปุ่นเตรียมปรับ เป้าหมายนโยบายการเงินครั้งใหญ่ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% หลังจากมีการคงไว้ ที่ระดับดังกล่าวนานเกือบ 10 ปีจึงคาดว่าการปรับเป้าหมายเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยหนุนให้ เยนแข็งค่าขึ้น และอาจทำให้ค่าเงินดอลลาห์ปรับตัวอ่อนค่าลงได้ เนื่องจากค่าเงินเยนมี สัดส่วนถึง 14% ในตะกร้าเงินดอลลาห์
ในส่วนของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้การดำเนินนโยบาย Zero-Covid ของจีนช่วง 3 ปีที่ผ่าน มา ได้ส่งผลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน พ.ย. 65 ที่ยังอยู่ในภาวะหดตัว ( PMI ต่ำกว่า 50 จุด) และ Retail Sales ของจีนที่ ฟื้นตัวในระดับต่ำ 0.15%MoM รวมถึงล่าสุดธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้มีการปรับลด ประมาณการ GDP ของจีนปี 65 ขยายตัวอยู่ที่ 3.0%YoY (เคยคาดไวที่ 3.3%YoY) และปี 66 ขยายตัวอยู่ที่ 4.3%YoY (เคยคาดไวที่ 4.5%YoY) ทั้งนี้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดยังคงพุ่ง สูงขึ้นต่อเนื่อง จึงคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะชัดเจนขึ้นหลังจาก 2Q66 อย่างไรก็ ตามสถานการณ์โควิดในจีนน่าจะดีขึ้นตามลำดับ และคาดหวังต่อการกลับมาเปิดประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจในภาพรวมปีหน้ายังขยายตัวต่อได้ ขณะที่หุ้นไทยคาดว่าจะได้รับ อานิสงส์จากจีนทยอยเปิดประเทศในอนาคต แนะนำ AOT CENTEL CPN NER NOBLE ORI
ธปท. มองเศรษฐกิจไทยปีหน้าฟื้นต่อ แต่การขึ้นดอกเบี้ยยังเป็นตัวสกัด UPSIDE ตลาดหุ้น
ธปท. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวขึ้นแรงและเร็ว จากปัจจัยราคาพลังงานที่ ปรับตัวขึ้น และทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเร็วและแรงอย่างพร้อมเพียง กันมากสุดในรอบ 50 ปี ซึ่งมีผลต่อ Dollar Index ปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ขณะที่ปีหน้า ธปท. มองเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น หลังอัตราเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย ด้วยตัวเอง (มาจากฝั่ง Supply อิงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์) บวกกับการบริโภค ภายในประเทศ และการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโต เศรษฐกิจ ขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายยังแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากกังวล กระทบต่อธุรกิจSME และผู้มีรายได้น้อย ส่วนความเสี่ยง คือ เศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว ลงกว่าที่คาด รวมทั้งความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีน(รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่หัวข้อก่อนหน้า) ที่ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ Real Interest Rate ของไทยปัจจุบันอยู่ที่ -4.3% (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.25% , อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย.65 +5.55%YoY) ซึ่งข้อมูล Bloomberg Consensus ชี้ว่า ในสิ้น ปีหน้า Real Interest Rate จะดูดีขึ้นอยู่ที่ -0.9% จากเงินเฟ้อทยอยปรับตัวลงเหลือ +2.6%YoY เท่า และอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้น 1.75%
ปัจจุบันฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน Valuation ของ SET Index ณ ดัชนีที่ 1618.20 จุด อิง Bond Yield 1 ปี ที่ 1.41% ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เนื่องจากมี Market Earning Yield Gap. ที่ระดับ 4.33% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.20% และยังพอเห็น Upside จากกรอบ ดัชนีเป้าหมายปี 2565 ที่วางไว้1685 จุด อย่างไรก็ตามดัชนีปี 2566 ถูกจำกัดด้วยการขึ้น ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น หากดอกเบี้ยนโยบายปีหน้าอยู่ที่ 1.5% เป้าหมายดัชนีปี 66 จะอยู่ที่ 1740 จุด และหากดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอยู่ที่ 1.75% เป้าหมายดัชนีปี 2566 ก็จะอยู่ที่ 1667 จุด
สรุป ธปท.มองเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่มีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ มีแนวโน้มชะลอตัวลง ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยยังคงแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีหน้าอยู่ในกรอบ 1.50%-1.75% กดดัน Target SET Index 2566F อยู่ในช่วง 1667-1740 จุด (ตามสมมุติฐาน Market Earning Yield Gap เฉลี่ยที่ระดับ 4.2%)
ส่วนวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index อยู่ที่ 1610-1635 จุด
คาดหวังWINDOW DRESSING จากแรงหนุนกองทุน SSF ได้ยาก
ปกติในปีที่กองทุน LTF ยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ในช่วงเดือน ธ.ค. จะมีเงินไหล เข้ากองทุน LTF ราว 2.2ถึง 2.8 หมื่นล้านบาท (ปี 2014 -2019) แต่พอเปลี่ยนเป็นกองทุน SSF (ปี 2020 - 2021) เหลือการไหลเข้าเดือน ธ.ค. ไม่ถึง 2 พันล้านบาทต่อเดือน
หนุนให้เดือน ธ.ค. (ปี 2012 -2019) มักเป็นเดือนที่นักลงทุนสถาบันฯ ซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงสุด เมื่อเทียบกับเดือนอื่นๆ บางปีซื้อสุทธิสูงถึง 2 –3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามในช่วงเดือน ธ.ค. 2 ปีที่แล้ว เริ่มเห็นการขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันฯ -1.8 หมื่นล้านบาท ในปี 2563 และ -8.6 พันล้านบาท ในปี 2564
กลับมาทีปัจจุบันแรงซื้อของสถาบันฯเริ่มชะลอลงเช่นกัน โดยมียอดซื้อสุทธิเพียง 1.78 พันล้านบาท (mtd) นอกจากนี้ยังเห็นการขายสุทธิติดต่อกัน 3 วันทำการที่ผ่านมา -3.5 พันล้านบาท
สรุปคือ เดือน ธ.ค. ปีนี้เอง ก็น่าจะคาดหวังเม็ดเงินลงทุนจากสถาบันฯในช่วงที่เหลือ ของปี รวมถึงการทำ Window dressing ได้ยากเช่นกัน พร้อมกับมูลค่าซื้อขายที่มี โอกาสเบาบางลงก่อนช่วงวันเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ กลยุทธ์แนะนำหุ้นมีปัจจัยบวก เฉพาะตัว อย่าง หุ้นคาดหวังแรงหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืน CRC, COM7 (มีโอกาส ติด SET50 รอบ 1H66) และ หุ้นผันผวนต่ำ มีแรงหนุนจากความหวังนักท่องเที่ยวจีน ทยอยเพิ่มมากขึ้น AOT เป็น Top pick
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities