ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ย.65 ของสหรัฐออกมาอยู่ที่ 7.1% YoY และ 0.1% MoM ถือว่าต่่ากว่าคาดชึ่งช่วยลดแรงกดดันที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยลงไปได้ โดย Fed Watch Tool คาดการประชุมรอบเดือน ธ.ค.65 จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% มาอยู่ที่ 4.5% ส่วนปี 2566 คาดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่บริเวณ 5% ภาพใหญ่ดังกล่าวเป็น การย้่าถึงมุมมองของฝ่ายวิจัยที่น่าเสนอว่า แรงกดดันจากเรื่องเงินเฟ้อสูง+ดอกเบี้ย สูงจะค่อยๆ ลดลงน้่าหนักลงไป ส่วน Theme การลงทุนหลักในตลาดหุ้นบ้านเรา ยังคงเป็น Domestic Consumption และในวันนี้มีการน่าเสนอ Theme เพิ่มเติม เป็น China Play โดยเราเห็นว่าทางการมีการผ่อนคลายมาตรการคุม Covid ที่ ชัดเจน และยังมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อหุ้นใน หลายกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนอีก Theme หนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่อ EV Car
ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทั้งเรื่อง เงินเฟ้อสหรัฐ ที่ต่่ากว่าคาด และทิศทางการ เปิดประเทศของจีน น่าจะท่าให้ SET Index ขยับตัวสูงขึ้นประเมินกรอบการ เคลื่อนไหวช่วง 1615 – 1635 จุด หุ้น Top Pick เลือก CBG, KCE และ MTC
เงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน พ.ย. +7.1% YOY ต่่ากว่าคาด หนุน DOLLAR INDEX อ่อนตัว ลุ้น FLOW ไหลเข้าหุ้นไทยและชอบ SCGP KCE มากสุด
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.65 อยู่ที่ 7.1%YoY ใน (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 7.3%YoY) และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 7.7%YoY ซึ่งถือเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ขณะที่ Core CPI เดือนพ.ย.65 อยู่ที่ 6.0%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 6.1%YoY) ลดลงจาก เดือนก่อนหน้าที่ระดับ 6.3%YoY จึงยิ่งเป็นการยืนยันว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ กำลังอยู่ในทิศทาง ขาลงและได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว ทั้งนี้หากการเติบโต CPI รายเดือนยังอยู่ที่ระดับ 0.1%MoM จะทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องในเดือนถัดๆ ไป โดยจะลดลง จาก 7.1%YoY เดือน พ.ย.65 มาอยู่ที่บริเวณ 2.95% ในเดือน พ.ค.66 และ 1.71%YoY ในเดือน เม.ย.66
ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวสะท้อนให้เห็นว่าการที่ Fed เร่งขึ้นช่วงก่อนหน้านี้ เริ่มส่ง ผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ FED ไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และแรงดังเช่นในอดีต โดยคืนนี้ติดตามผลการประชุม FED ที่ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% มาอยู่ที่ 4.50% และปีหน้าตลาดคาด FED จะขึ้นดอกเบี้ยอีกราว 0.50% มาอยู่ที่ 5.00% ในช่วงกลางปี และมีโอกาสลดดอกเบี้ยกลับมาระดับเดิมที่ 4.50% ในช่วงสิ้นปี 2566 ด้วยสาเหตุดังกล่าวทั้งอัตราเงินเฟ้อทิ่อยู่ในช่วงผ่อนคลาย บวกกับการขึ้นดอกเบี้ย ของ FED ผ่อนคลายลงเมื่อเทียบกับในอดีต ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้นแรงในวานนี้ โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นราว 0.3% - 1.0% และตลาดหุ้รฝั่งยุโรปปิดตัวในแดนบวก ราว 0.7% - 1.4%
อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลง ส่งผลให้Dollar Index ปรับตัวลง 1.0% มาอยู่ที่ 103.98 จุด (ทำ จุดต่ำสุดในรอบ 6 เดือน) ซึ่งสถิติในอดีตตั้งแต่ 2021-ปัจจุบัน บ่งชี้ว่า หากเงินเฟ้อของ สหรัฐมีแนวโน้มลดลง คาด Dollar Index จะปรับตัวลงต่อเช่นกัน โดยมีค่า Correlation ระหว่างกันสูงถึง 0.80
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่มักจะ Outperform SET Index ในวันที่เงินเฟ้อสหรัฐลดและดีกว่าคาด ดังเช่นในอดีต 2 รอบที่ผ่านมา(1.10 ส.ค.65 CPI 8.5%YoY ตลาดคาด 8.7%YoY 2.11 พ.ย.65 CPI 7.7%YoY ตลาดคาด 8.0%YoY) คือ PKG HELTH ETRON FOOD FIN TOURISM ที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% ขณะที่ SET Index ปรับตัวขึ้น 0.7% เท่านั้น
สรุป อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯที่ชะลอลงเป็นเดือนที่ 5 บวกกับสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ที่ผ่อนคลายลง หนุนให้ Dollar Index อ่อนค่าต่อเนื่อง หนุนค่าเงินบาทแข็งค่า ถือเป็นหนึ่งเหตุผลที่ Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ขณะที่ SET Index มัก ปรับตัวขึ้นเสมอ หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐลดและดีกว่าคาดดังสถิติในอดีต โดยกลุ่มหุ้นที่ Outperform SET คือ PKG HELTH ETRON FOOD FIN TOURISM ซึ่งมีหุ้นที่ฝ่าย วิจัยฯชื่นชอบ ดังนี้ SCGP BDMS KCE CBG MTC CENTEL ERW เป็นต้น
หาหุ้นเด่น CHINA PLAY ต้อนรับเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว
รัฐบาลจีนทยอยผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 (Zero-Covid) มากขึ้น โดยล่าสุด กรุงปักกิ่งมีการขยายบริการทางการแพทย์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโค วิด-19 ส่วนฮ่องกงได้มีการยกเลิกมาตรการสั่งห้ามนักเดินทางเข้าในบริการสถานบันเทิง และร้านอาหาร ท่ามกลางผู้ติดเชื้อฯ รายวันในจีนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง (วันที่ 12 ธ.ค. อยู่ที่ 7,679 ราย ลดลงจากจุดสูงสุดที่เคยสูงเกิน 4 หมื่นราย)
สถานการณ์โควิดในจีนที่มีทิศทางดีขึ้นตามลำดับ เป็นผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่ม กลับมาคึกคัก อาทิ การบินภายในประเทศจีนกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยพุ่งขึ้นสู่ระดับ 65% ของช่วงก่อนโควิดระบาด (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค.) ฯลฯ ขณะที่รัฐบาลจีนเตรียมออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก่อนหน้านี้ สะท้อนจากเงินเฟ้อจีนที่ปรับตัวลดลง (เดือน พ.ย. อยู่ที่ +1.6%YoY หดตัวลงจากเดือน ต.ค. อยู่ที่ +2.1%YoY) อาทิ การลดอัตรา ดอกเบี้ย LPR, การผ่อนผันชำระหนี้ธนาคาร, การสนับสนุนสภาพคล่องในภาคอสังหาฯ, การสนับสนุนภาษีพิเศษในอุตสาหกรรม Semi-Conductor ฯลฯ ทั้งนี้จากปัจจัยบวก ข้างต้น ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นการกลับมาเปิดประเทศในเร็ววันนี้ และอุตสาหกรรมที่ เกี่ยวข้องในบ้านเราน่าจะได้รับประโยชน์เช่นกัน
ฝ่ายวิจัยได้คัดเลือกหุ้นเด่นในแต่ละอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจจีนที่กำลัง จะเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว รวมถึงการเปิดประเทศ รายละเอียดดังนี้
กลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว : จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยปี 65 ครบ ตามเป้าหมายก่อนกำหนดที่ 10 ล้านคน ส่วนปีหน้า ททท. คาดว่าจะอยู่ที่ 20 ล้านคน โดยหุ้นไทยรับกระแสจีนเปิดประเทศ คือ AOT (BK:AOT)(FV@B80) ที่เป็นประตูสู่ประเทศไทย, ERW (FV@B5.10) ที่มีโครงสร้างโรงแรมในไทยประมาณ 90% ตามด้วย CENTEL(FV@B54) มาจากโรงแรมไทยราว 34% ของรายได้ปี 2562 ส่วนที่เหลือมาจากมัล ดีฟส์ 7% และธุรกิจร้านอาหาร 59% (ทั้งนี้ กำไรธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 66% และ ร้านอาหาร 34% ของกำไรปี 2562) ส่วน MINT(FV@B38) ฐานรายได้ประมาณ 50% มา จาก NH Hotel (MINT ถือหุ้นสัดส่วน 94%)
กลุ่มยางพารา : จะได้ผลบวกจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและโลกฟื้นตัว หนุนแนวโน้มยอด จำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการเดินทางจะเพิ่มขึ้นด้วย หนุนให้ผู้ใช้รถยนต์ เปลี่ยนล้อยางเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อแนวโน้มความต้องการใช้และราคายางพาราโลก โดย แนะนำซื้อ NER (FV@B9) และ STA (FV@B23)
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์: จะได้ผลบวกทางอ้อม จากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและโลกฟื้น ตัว หนุนแนวโน้มความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ แนวโน้มการจัดหาวัตถุดิบชิ้นส่วนฯ และการขนส่งจากจีนสะดวกขึ้นด้วย โดยเลือก KCE (FV@B60) และ SMT (FV@B6.60) เป็น Top picks ของกลุ่มชิ้นส่วนฯ
กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย: ถือเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ทางอ้อม หลังจีนผ่อนคลาย มาตรการควบคุมโควิด-19 ในประเทศ และคาดเริ่มปลดล็อกด้วยการปล่อยคนออกนอก ประเทศมากขึ้นในปีหน้า ย่อมส่งผลบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดฯ เนื่องจากจีนถือเป็นลูกค้าหลักอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 50-60% ของมูลค่าโอนกรรมสิทธิต่างชาติ ทำให้สถานะ Backlog คอนโดฯ สิ้น 3Q65 ที่มีราว 1.62 แสนล้านบาท (รวม คอนโดฯ JV 8.6 หมื่นล้านบาท) ที่เป็นส่วนของลูกค้าต่างชาติ สามารถโอนได้คล่องตัวขึ้น รวมถึงการระบายสต๊อกคอนโดฯ พร้อมโอนฯ ที่มีอยู่ราว 1.2 แสนล้านบาท ทำได้มากขึ้น โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่เน้นพอร์ตคอนโดฯ และได้รับประโยชน์จากดีมานด์ลูกค้าต่างชาติ ได้แก่ NOBLE (ปี 2564 มีส่วนแบ่งตลาดลูกค้าต่างชาติสำหรับตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพ มากสุดในไทย สัดส่วน 52% และลูกค้าต่างชาติสัดส่วน 29% ของยอดขาย และ 50% จาก ยอดโอนฯ รวม) ตามด้วย ANAN และ ORI (สิ้น 3Q65 มี สต๊อกคอนโดฯ พร้อมโอนฯ ราว 1.95 หมื่นล้านบาท และ 1.26 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ)
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : การส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างจากไทยไปจีนโดยตรงมีน้อย เนื่องจาก เป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมากและไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มสูง อีกทั้งจีนมีความได้เปรียบในแง่ ความสามารถการแข่งขันด้านต้นทุน โดยบริษัทในกลุ่มวัสดุฯ อย่าง SCC มีสัดส่วนยอดขาย ไปจีนราว 3-5% ของยอดขายรวม ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มปิโตรเคมีและ Packaging ซึ่ง น่าจะได้ประโยชน์ทางอ้อมมากกว่าประโยชน์ทางตรง หากจีนมีการเปิดประเทศ เนื่องจาก จีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเกือบ 40% ของทั้งโลก ปริมาณ การบริโภคเหล็ก 50% ของทั้งโลก และมีการนำเข้ากระดาษบรรจุภัณฑ์มากกว่าปีละ 10 ล้านตัน ดังนั้นการเปิดประเทศของจีนจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง เม็ดพลาสติก,เหล็ก ,Packaging Paper ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลบวกต่ออัตรากำไรของ SCC, SCGP รวมไปถึง ผู้ประกอบการในกลุ่มเหล็กอย่าง TMT ที่จะได้ อานิสงส์จากทิศทางราคาสินค้าที่มีโอกาส ปรับตัวขึ้น
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี: ถือเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลบวกจากการที่จีนผ่อน คลายมาตรการควบคุมโควิด-19 เพราะจะส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าอุปโภคบริโภค ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีในภูมิภาค คาดน่าจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคา และ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีเห็นการฟื้นตัว เพราะในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา 3Q65 Spread ผลิตภัณฑ์ ปิโตรเลียม (GRM) และ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ได้ปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ ปี ถูกกดดันหลักจากความต้องการใช้ที่ปรับตัวลดลงตามภาวะความกังวลด้าน recession ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงอีกสาเหตุสำคัญมาจากการปิดเมืองสำคัญหลายแห่งในจีน เพื่อป้องกันโควิดอีกระลอก จึงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นผู้บริโภคหลักใน ภูมิภาคลดลง ดังนั้นการกลับมาของจีนน่าจะเห็นการฟื้นตัวของ Spread ปิโตรเลียมและปิ โตรเคมีทั้งสายอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ ถือเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเคมี แนะนำทยอยสะสม TOP (FV@63B), PTTGC (FV@56B) และ IRPC (FV@3.6B) แต่อย่างไรก็ตาม PTTGC และ IRPC จะมีแผน shutdown โรงกลั่น 1 เดือน ในงวด 4Q65 ขณะที่ TOP มีแผน shutdown โรงกลั่น 1 หน่วย CDU2 กำลังการผลิตราว 5.0 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 26 วัน ในเดือน ต.ค. แต่ยังสามารถคงอัตราการเดินเครื่อง โรงกลั่นน่าจะอยู่ได้ในระดับ 104% ใกล้เคียงกับงวดก่อนหน้า
กลุ่มอุปโภคบริโภค : คาด CBG ได้ประโยชน์จากการที่จีนคลายการล็อคดาวน์ ภายในประเทศ เนื่องจากคาดว่ายอดขายสินค้ารวมทั้งสินค้า Carabao ของ CBG ในจีน จะ เพิ่มขึ้นตามการจับจ่ายที่น่าจะสูงขึ้น ทั้งนี้ยอดขายสินค้า Carabao ในจีนช่วง 9M65 มี สัดส่วนเพียง 3% ของยอดขายรวม แต่เชื่อว่ายอดขายในจีนน่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นไปสู่ ระดับก่อนโควิดที่ 4.1% - 4.2% ของยอดขายรวมได้ หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ในจีนคลี่คลายลงมากแล้ว บวกกับคาดหวังยอดขายใน CLMV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดเวียดนาม หลังมีตัวแทนจำหน่ายรายใหม่เข้ามาเพิ่มตั้งแต่ปลาย 3Q65
กลุ่มเช่าซื้อ : จะได้ผลบวกทางอ้อม จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อ แนวโน้มรายได้ของลูกหนี้ในกลุ่มส่งออกและกลุ่มท่องเที่ยวที่จะมีรายได้สูงขึ้น ทำให้ แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการ กลุ่มสินเชื่อมีแนวโน้มตั้งค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง ส่งผลบวก ให้แนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มเช่าซื้อให้ดีขึ้น โดยฝ่ายวิจัยเลือก MTC (FV@B47) และ ASK (FV@B46) เป็น Top picks ของกลุ่มเช่าซื้อ
สรุปกระแสจีนเปิดประเทศถือเป็นอีกแรงส่งหนึ่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเด่นด้วยเช่นกัน ทั้งจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ 28% รวมถึงเป็น ประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆสูงถึง 12% ถือเป็นแรงหนุน หุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำช่วยหนุนตลาดในระยะถัดไป Toppick เลือกหุ้นเด่นแต่ละแตสา หกรรม AOT, NER, KCE, NOBLE, SCGP, CBG และ MTC
กระแสรถยนต์ EV มาแรงแซงทางโค้ง หุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์ ?
ตามที่ TESLA เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการในไทย 2 รุ่น ได้แก่ Tesla (NASDAQ:TSLA) Model 3 (ราคา 1.759 – 2.309 ล้านบาท) และ Tesla Model Y (1.759 – 2.509 ล้านบาท) เปิด จองผ่านหน้า Website TESLA ประเทศไทย หรือที่ pop-up store ชั้น 1 สยามพารากอน คาดส่งมอบรถยนต์ช่วง 1Q66 โดยเป็นการนำเข้าจากประเทศจีน โดยมียอดจองทะลุ 8000 คัน (หลังจากเปิดตัว 5 วัน) ซึ่งยอดจองดังกล่าวแซงยอดจองของทุกค่ายรถยนต์ในงาน
Motor Expo 2022 ขณะที่งาน Motor Expo 2022 พบว่ายอดจองรถยนต์ภายในงาน อยู่ ที่ 36,679 คัน สูงขึ้น 16% จาก Motor Expo ครั้งก่อน หากพิจารณาแต่ละค่ายรถยนต์จะ เห็นได้ว่า ค่ายรถยนต์ที่มีรถไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่จะมียอดจองที่เติบโตเด่นกว่ารถยนต์ สันดาบ อาทิ BYD ยอดจอง 2714 คัน (สูงเป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับทุกค่าย), Nissan ยอด จอง 2478 คัน (+141% YoY) ,GWM ยอดจอง 1995 คัน (+130% YoY) เป็นต้น
การฟื้นตัวของยอดจองข้างต้น บ่งชี้ความมั่นใจของผู้บริโภคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ในระยะถัดไป หลังสถานการณ์ COVID ทยอยดีขึ้นและการเดินหน้าเปิดประเทศ ประเมิน หนุนยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2566 ฟื้นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังเห็น พัฒนาการของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าในไทย โดยยอดขายรถยนต์รวมทั้ง ประเทศราว 8 แสนคัน – 1 ล้านคัน ต่อปี โดยปัจจุบันยอดจดทะเบียน BEV ใหม่งวด 10M65 ที่ 2% ของยอดขายรถยนต์ไทยเท่านั้น ทำให้ยังมี Upside เปิดกว้างกับประเด็น ดังกล่าว หลังรัฐบาลมีนโยบาย Zero-Emission
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Theme รถยนต์ BEV และเทรนการรักสิ่งแวดล้อมแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จะได้ผลบวกจากแนวโน้มยอด จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในระยะยาว จากแนวโน้มการใช้ชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อแนวโน้ม ประสิทธิภาพการทำกำไรของผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ ไทย นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัย ประเมินว่าผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ จะได้ผลบวก จากแนวโน้มฟังชั่นการขับขี่ อัตโนมัติในรถยนต์มากขึ้น โดยผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ ไทย ผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้อง กับรถยนต์ไฟฟ้าดังนี้ DELTA ผลิตตัวแปลงไฟฟ้า เช่น Inverter (อุปกรณ์เปลี่ยนกระแสไฟฟ้าตรงเป็นกระแสไฟฟ้าสลับ) และ On Board Generator (ระบบไฟฟ้า สำรอง) เป็นต้น สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด และเครื่องชาร์จสำหรับ รถยนต์ไฟฟ้า, KCE ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) สำหรับรถยนต์, HANA ผลิต ชิ้นส่วนประเภท sensors ในรถยนต์, SAT จากการเริ่มรุกรถสามล้อไฟฟ้า ผ่าน บ. ร่วม STRON (JV ร่วมกับ Tron E ไต้หวัน) และอนาคตเตรียมขยายไปยัง E-BUS กอปรกับจุดเด่นที่สถานะการเงินเป็น Net Cash จึงคาดหมาย DivYield ราว 7% ต่อปีเป็นต้น
กลุ่มสินเชื่อ/ประกันรถยนต์แม้ในเชิงของขนาดสินเชื่อยังไม่ได้มีนัยฯ สอดคล้อง กับสัดส่วนยอดจดทะเบียน BEV ใหม่เทียบกับยอดขายรถยนต์ อย่างไรก็ดีการเข้า มาของค่ายรถยนต์ใหม่เปิดโอกาสในการเพิ่มพันธมิตร Captive ใหม่ รวมไปถึง การต่อยอดรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ในอนาคต ผ่าน Banassurance เนื่องจากค่า เบี้ยประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าณ ปัจจุบัน สูงกว่ารถยนต์สันดาป (ขึ้นกับรุ่นของ รถยนต์)แนะนำ TISCO (ที่เริ่มทำ Captive กับ GWM) รวมถึงหุ้นอื่นๆ BAY, KKP, TISCO และ TTB
องค์ประกอบเสริม (สถานีชาร์ต/แบตเตอรี่) OR, EA, GPSC, CPALL (BK:CPALL), BCP, ESSO, PTT (BK:PTT)
หุ้นติดเทรน ESG ที่เพิ่งเข้าดัชนี Dow jones Sustainability Index อย่าง SCGP CRC GPSC (หุ้นไทยทั้งหมดมี 26 บริษัท) มีผล 19 ธ.ค. 65 นี้
Top pick จากประเด็นนี้เลือก KCE, TISCO, GPSC
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities