วันทำการสุดท้ายของสัปดาห์นี้ คาดว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ แคบๆ เนื่องจากสัปดาห์นี้จะเป็นวันหยุดยาว 3 วัน ขณะที่สัปดาห์หน้าจะมีการ ประชุม Fed และ BOE ทำให้นักลงทุนบางส่วนอยู่ในโหมด Wait & See ส่วน ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทิศทางตลาด ส่วนใหญ่เป็นการติดตามพัฒนาการของข่าว เช่น มาตรการควบคุม Covid-19 ของจีนที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น ความเสี่ยงเชิงภูมิ รัฐศาสตร์ ที่ล่าสุดรัสเซีย ยืนยันไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หากไม่ถูกรุกราน ส่วนใน บ้านเรา ยังคงเป็นกระแสเรื่องการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น สำหรับ Investment Theme คงอยู่ในกรอบเดิมคือ Domestic Consumption บน ความเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเกิดจากแรงขับเคลื่อนภายใน และในวันนี้ มีการนำเสนอ Theme หุ้น Utility เพิ่มเติม ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ปลอดภัย
คาดว่า SET Index วันนี้น่าจะผันผวนในกรอบแคบ โดยปริมาณการซื้อขายน่าจะ เบาบางต่อ กำหนดกรอบการเคลื่อนไหวช่วง 1610 – 1630 จุด สำหรับหุ้น Top Pick วันนี้เลือก CBG, GULF และ TISCO
SET ไร้ทิศทาง แกว่งตัวในกรอบแคบ
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ SET Index ปรับตัวลงมาราว -1.3%wtd ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าวันนี้ ตลาดจะยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบช่วง 1,610 - 1,630 จุด เนื่องจากเป็นวันทำการสุดท้าย ก่อนหยุดยาว อีกทั้งช่วงนี้ยังได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลเรียกเก็บภาษีซื้อขายหุ้น โดย กรมสรรพากรคาดว่าจะประกาศใช้อย่างเร็วสุดในวันที่ 1 พ.ค. 66 ทำให้วานนี้SET มีมูลค่า ซื้อขาย 4.26 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดเป็นอันดับ 3 ของปี 65
นอกจากนี้นักลงทุนต่างจับตามองการประชุมของธนาคารกลางต่างๆ ครั้งสุดท้ายของปีนี้ ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวลง (ก่อนหน้านี้ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.75% ติดต่อกัน 4 ครั้ง) ทำให้ปลายปีดอกเบี้ยสหรัฐ อยู่ที่ระดับ 4.5% ส่วน ECB, BOE คาดว่าจะยังคงเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% หลังเงิน เฟ้อในฝั่งยุโรปยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้หาก FED มีการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยตามคาด ท่ามกลางการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในฝั่งยุโรป จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาห์อ่อนค่า หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบราวด์กลับไปเป็นบวกต่อเนื่อง
สรุป กระแสข่าวการเก็บภาษีขายหุ้นในช่วงนี้ บวกกับนักลงทุนต่างรอการประกาศ ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯและยุโรปสัปดาห์หน้า ทำให้วันนี้ ซึ่งเป็นวันทำ การวันสุดท้ายก่อนหยุดยาว คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบแคบราว 1,610 - 1,630 จุด
เปิดโผ หุ้นโครงสร้างพื้นฐานเด่น รับมือกังวล RECESSION เศรษฐกิจโลก
สถานการณ์เศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะ Recession ในหลายๆประเทศทั่วโลก กดดันความ ต้องการซื้อของผู้บริโภคในสินค้าและบริการหลายภาคส่วน ส่งผลให้ความต้องการใช้ชะลอ ตัวลง อย่างไรก็ตามจะมีกลุ่มหนึ่งที่ภายใต้เศรษฐกิจที่ผันผวนจะได้รับผลกระทบน้อยสุด ได้แก่ กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) เพราะถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องใช้ไม่ว่าสถานการณ์ เศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ดังนั้นภายใต้ภาวะการณ์ปัจจุบันกลุ่มโรงไฟฟ้า และประปา คาดจะ ได้รับผลกระทบน้อยสุด และสามารถรักษาฐานกำไรให้อยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง จึงแนะนำ กลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่มดังแสดงในตารางและกลุ่มธุรกิจน้ำประปาแนะนำ TTW (FV@10.00)
นอกจากนี้ในกลุ่มโรงไฟฟ้ายังมีปัจจัยบวกจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ทยอยปรับตัวลดลง ขณะที่ ค่า Ft มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรในส่วนของที่ ขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น มีรายละเอียดแต่ละบริษัทดังนี้
BGRIM (FV@40) (สัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรมราว 23% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม) ค่า ft ที่ปรับขึ้นทุกๆ 1 สตางค์ จะส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้นราว 21 ล้านบาท/ปี ขณะที่ ราคาก๊าซฯที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1 บาท/ล้านบีทียู จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรลดลงราว 17 ล้าน บาท/ปี
GPSC (FV@76) (สัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรมราว 26% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม) ค่า ft ที่ปรับขึ้นทุกๆ 1สตางค์ จะส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้นราว 60ล้านบาท/ปี ส่วนราคาก๊าซ ฯที่ปรับขึ้นทุกๆ 1 บาท/ล้านบีทียู จะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรลดลงราว 30 ล้านบาท/ปี
GULF (FV@65) (สัดส่วนกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 14% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม) ค่า ft ที่ปรับขึ้นทุกๆ 1 สตางค์ จะส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้นราว 30 ล้านบาท/ปี ส่วน ราคาก๊าซฯที่ปรับขึ้นทุกๆ1บาท/ล้านบีทียูจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงราว 12 ล้านบาท/ปี
รวมถึงกลุ่มคมนาคม ได้แรงหนุนจากการทยอยเปิดประเทศ เสริมด้วยนักท่องเที่ยวที่เข้ามา ไทยเพิ่มขึ้นทุกเดือน หนุนการจราจรหนาแน่นขึ้นตามลำดับ ถือเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนหุ้น สนามบิน รถไฟฟ้า ทางด่วน ซึ่งมีเกราะป้องกัน Recession อย่าง AOT (BK:AOT)(FV@80), BEM(FV@12) : กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนผ่านตัวเลข Google (NASDAQ:GOOGL) Mobility ที่ชี้วัดการเข้าถึงของผู้คนบนระบบขนส่งมวลชนที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลบวก โดยตรงต่อ BEM ในฐานะผู้ให้บริการรถไฟฟ้าใต้และทางด่วนสำคัญในกรุงเทพ โดยจำนวน ผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินเฉลี่ยเดือน ต.ค. อยู่ที่ 3.4 แสนเที่ยว/วัน เทียบเท่า 80% กับช่วงเกิดการ แพร่ระบาดของไวรัสโควิด เช่นเดียวกับจำนวนผู้ใช้ทางด่วนเฉลี่ยเดือน ต.ค. ที่อยู่ที่ 1.0 ล้าน เที่ยว/วัน เทียบเท่า 83% กับช่วงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด พร้อมกระแสเชิงบวก จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกที่คาดหวังว่า BEM จะเซ็นสัญญากับ รฟม. ในเวลาไม่ นานจากนี้ รวมถึง Upside เพิ่มเติมจากโครงการใหม่ๆในอนาคต ทั้งโครงการ Double Deck เพื่อเพิ่มพื้นที่จราจรบนทางด่วน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่ BEM น่าจะ เจรจาตรงกับ รฟม.เพื่อรับเป็นผู้ดำเนินการเดินรถ ภายใต้แนวคิด “One Line One operator” เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงทั้งเส้นทาง
ค้นหาหุ้นขึ้นดี ช่วงวอลุ่มแห้ง
ในเดือน ธ.ค. มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเฉลี่ยลดลงเหลือ 5.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน (ต่ำที่สุดของปี และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ytd 7.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน) ส่วนหนึ่งเกิดจากเป็นช่วงฤดูกาลวันหยุด มีประเด็นเก็บภาษีหุ้น และรอผลการประชุม Fed เป็นต้น ส่งผลให้ภาพรวม SET Index ปรับตัวขึ้นได้ยาก อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์ลงไปในผลตอบแทนราย Sector ช่วง 1 – 8 ธ.ค. ยังพอที่จะเห็นและแบ่งกลุ่มหุ้นที่ Underperform และ Outperform ออกได้ดังนี้
กลุ่มหุ้น Underperform -> ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขึ้นมาสูงในช่วงก่อนหน้า อาทิ กลุ่ม TOURISM, HELTH รวมถึงกลุ่ม ENERG, PETRO ที่ถูกกดันจากราคาน้ำมันลง 10%mtd สัปดาห์นี้ลงทุกวัน (และหุ้น Tactical Short ประจำเดือน ธ.ค. ที่ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำยังอยู่ ในกลุ่มนี้ทั้ง 2 หุ้น คือ PTTEP และ BH รายละเอียดตามหัวข้อถัดไป)
กลุ่มหุ้น Outperform -> หุ้นที่ลงมาลึกในช่วงก่อนหน้า และมี Sentiment บวกหนุน อาทิ(กลุ่มผลประกอบการ 4Q22 เด่น ปีหน้าเด่นต่อ FIN, MEDIA, CONS), (กลุ่มได้แรง หนุนจากจีนเปิดประเทศ ETRON), หุ้น Defensive อาทิ PF&REIT, PROP
เชื่อว่าหุ้นที่ Outperform ในช่วงนี้ยังมี Momentum ขยับขึ้นต่อ แนะนำสะสมหุ้นใน กลุ่มดังกล่าว อย่าง MTC, STEC, CK, BEC และ AP
ขณะที่ SET Index วันนี้ก่อนหยุดยาว คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ 1610 – 1630 จุด Top pick แนะนำหุ้นที่ปัจจัยบวกเฉพาะตัวหนุน คือ TISCO เป็นหุ้นมีปันผลสูงเป็น อันดับต้นๆ ที่ 7.7% ต่อปี, CBG ได้แรงหนุนจากต้นทุนอลูมิเนียมลดลง มีรายได้จากจีน กว่า 30% ซึ่งกำลังทยอยเปิดประเทศ, GULF มีปัจจัยบวกจากจับมือ AIS, KTB ตั้ง Virtual Bank ก้าวสู่ Digital Transformation ครบวงจร
หุ้น TACTICAL SHORT SELLเคลื่อนไหวตามที่ฝ่ายวิจัยฯ คาด
จากที่ฝ่ายวิจัยได้ออกบทวิเคราะห์ Tactical Short Sell PTTEP และ BH ในบทวิเคราะห์ Invest+ ประจำเดือน ธ.ค.65 ซึ่งราคาหุ้นตอบสนองได้ดีเกินคาด โดยปรับตัวลง 8.2%mtd และ 6.6%mtd ตามลำดับ โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้
PTTEP “SELL” จากเดิม “BUY” หลังจากที่ราคาหุ้นปรับขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันที่ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งราคาหุ้น PTTEP ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ฝ่ายวิจัยออก บทวิเคราะห์ดังกล่าว หรือ ลดลง 8.2%mtd จนราคาหุ้นปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 172.50 บาท ต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน อีกทั้งในด้านพื้นฐานการปรับตัวของราคา หุ้น PTTEP สอดคล้องการปรับตัวของราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมีนัยฯและต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำ ให้มีการดีดตัวขึ้นได้บางช่วงเวลา รวมถึงมุมมองทางเทคนิคในช่วงสั้นพบว่า ณ ระดับราคา ปัจจุบันอยู่ในช่วงแนวรับของ Trend ขาขึ้นช่วง 165-170 บาท ดังนั้นจึงอาจเห็นแรงซื้อ กลับมาได้ช่วงสั้น หนุนราคาหุ้นดีดตัวกลับ โดยมีแนวต้านแรกที่ 176 บาท นักลงทุนอาจปิด สถานะ Short เพื่อทำกำไรในช่วงสั้น
BH ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจนสูงกว่า Fair Value ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ได้ปรับลดคำแนะนำลงเป็น “SWITCH” จากเดิม “BUY” และได้ออก Report เป็น Tactical Short โดยมอง กำไรในงวด 4Q65 มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง QoQ จากผลของฤดูกาล เนื่องจากประเทศ ไทยผ่านช่วงฤดูฝนที่มักมีโรคติดต่อทางเดินหายใจ และโรคไข้เลือดออก สูงกว่าช่วงอื่นๆ ไป แล้วในไตรมาส 3 ส่วนผู้ป่วยต่างชาติคาดว่าอาจชะลอลง QoQ บ้าง เนื่องจากคาดว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาในไทยช่วงปลายปี ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวมากกว่าผู้ป่วยที่เข้า มารักษาตัว ซึ่งทำให้ในงวด 4Q64 มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติต่ำเพียง 50% เมื่อ เทียบกับช่วงก่อนโควิดที่มีสัดส่วน 65% - 66% บวกกับสถานการณ์ COVID-19 ดูผ่อน คลายลงไปช่วง ต.ค. - พ.ย. 65อย่างไรก็ตามในมุมมองทางเทคนิคในช่วงสั้นพบว่า ณ ระดับ ราคาปัจจุบันอยู่ในช่วงแนวรับแรกของกรอบ Sideway ที่ระดับ 210 บาท ดังนั้นจึงอาจเห็น แรงซื้อกลับมาได้ช่วงสั้น หนุนราคาหุ้นดีดตัวกลับ โดยมีแนวต้านแรกที่ 216 บาท นักลงทุน อาจพิจารณาปิดสถานะ Short เพื่อทำกำไรในระยะสั้น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities