ปัจจัยภายนอกที่น่าสนใจคงเป็นท่าทีของรัฐบาลจีนที่ผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 ต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะสร้างความคาดหวังเชิงบวกให้กับกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรม ในตลาดหุ้นบ้านเรา แต่ก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักนการขับเคลื่อ SET Index อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่อยู่ในความสนใจมากว่าในช่วงนี้ได้แก่ กรณีการจัดเก็บภาษี ธุรกิจเฉพาะจากการขายหุ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเก็บใน 2Q66 ด้วยอัตรา 0.055% และเพิ่มเป็น 0.11% ในปี 2567 ซึ่งเรามองว่าน่าจะเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อ ตลาดหุ้น ทั้งในมุมของปริมาณการซื้อขายที่น่าจะลดลงเนื่องจากต้นทุนการทำ รายการซื้อขายสูงขึ้น โดยส่วนที่ต้องให้ความสนใจคือกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ซึ่ง ปัจจุบันพบว่ามีTurnover สูงกว่ากลุ่มนักลงทุนในประเทศ และหาก Turnover ลดลง ก็จะมีผลกระทบต่อการขับเคลื่อน SET Index ในอีกทางหนึ่งด้วย
ป้จจัยจากภายนอกดูไม่มีเรื่องที่จะมีน้ำหนักในการขับเคลื่อน SET Index แต่ความ สนใจน่าจะไปอยู่ที่ผลพวงจากการที่ รัฐบาลตัดสินใจเก็บภาษีจากการขายหุ้นคาด SET Index อยู่ในกรอบ 1610 – 1630 จุด Top Pick เลือก AP, CBG และ TISCO
จีนผ่อนคลายโควิดเพิ่มขึ้น หวังเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวปีหน้า
ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 มากขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ย. ที่ผ่าน มา หลังมีประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงต่อต้านนโยบาย Zero-Covid ที่เข้มงวด ของรัฐบาลจีน บวกกับเศรษฐจีนมีความเสี่ยงถดถอยจากมาตราการดังกล่าว เนื่องจากการ บริโภคภายในประเทศทรุดตัวและการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์สะท้อนจากยอด การนำเข้าเดือนพ.ย. ร่วงลงราว -10.6% YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ -5%YoY) ปรับตัว ลดลงจากเดือนก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ -0.7%YoY
และล่าสุดทางการจีนได้ผ่อนปรนมาตราการ Zero-Covid เพิ่มเติมอีก 10 ข้อ เพื่อ ปรับเปลี่ยนแนวทางการควบคุมโรคระบาด ได้แก่
1. ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ/อาการน้อยสามารถกักตัวที่บ้านได้ (เดิมต้องเข้าศูนย์กักตัวของรัฐ)
2. การตรวจ PCR จะลดความถี่และจำนวนลง
3. การบังคับตรวจเชื้อจากประชาชนจำนวนมาก ทำเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงสูงและโรงเรียน
4. ยกเลิกการแสดงผลตรวจเป็นลบสำหรับการเดินทางข้ามเขต
5. การเร่งฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุ
6. ห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำหนดพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นที่มีความเสี่ยงสูง เช่น บ้านจัดสรร
7. ห้ามระงับการดำเนินงานหรือการผลิต หากไม่ใช่สถานที่ที่ถูกกำหนดว่ามีความเสี่ยงสูง
8. ห้ามการบังคับล็อคประตูในชุมชน
9. โรงเรียนที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยจะกลับมาเปิดสอนในชั้นเรียนอีกครั้ง
10. ยกเลิกข้อห้ามการซื้อยา สำหรับไข้ ไอ และหวัด
นอกจากนี้ทางการจีนประกาศว่าจะมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวในปี 66 หลังโควิดคลี่คลาย ด้วยการดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกและกำหนดนโยบายการเงินที่มี เป้าหมายและมีประสิทธิภาพ และตั้งเป้าว่าปีหน้า GDP จีนจะขยายตัวไม่น้อยกว่า 5% หรือ 5.5% ทั้งนี้เป็นดังกล่าวยิ่งเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคการส่งออกและภาคการ ท่องเที่ยวในระยะกลาง-ยาวให้กลับมาฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของ สำนักเศรษฐกิจต่างประเทศที่จีนและไทยเป็น 2 ประเทศในแถบเอเซีย ที่เศรษฐกิจจะ ขยายตัวต่อได้ในปีหน้า
สรุป ทางการจีนผ่อนคลายมาตราการ Zero-Covid เพิ่มเติม หลังการประท้วงและ เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัว อีกทั้งทางการจีนออกมาส่งสัญญานเริ่มกระตุ้น เศรษฐกิจช้วงปีหน้าหลังโควิดคลี่คลาย ขณะที่เศรษฐไทยคาดว่าจะได้รับอานิสงค์ ดังกล่าวทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางความ เสี่ยงเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะ Recession จึงยิ่งเป็นการสร้างความน่าสนใจให้ต่างชาติ เข้ามาลงทุนในบ้านเรา
เงินเฟ้อไทยเดือน พ.ย. อยู่ที่ 5.55% ต่ำกว่าคาด เน้นหุ้นกลุ่ม DOMESTIC CONSUMPTION
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 5.55%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 5.8%YoY และเดือนก่อนหน้า 5.98%YoY) และชะลอลงเป็นเดือนที่ 3 ส่งผลให้ CPI 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) อยู่ที่ 6.1%YoY โดยลดลงจากราคาสินค้ากลุ่มอาหารสด อาทิ เนื้อหมู ไข่ไก่ ผัก ผลไม้ ฯลฯ ส่วนแนวโน้มเดือน ธ.ค.65 คาดว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลงต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ทั้งปี 2565 กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์ว่าอัตรา เงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 6% หรือในกรอบที่ 5.5-6.5% ทั้งนี้ เมื่อเทียบอัตราเงินเฟ้อไทยกับ ต่างประเทศ พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับดีกว่าหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ +7.7%YoYยุโรป +10.0%YoYอังกฤษ +11.1%YoYอินเดีย +6.8%YoY และ ฟิลิปปินส์ +8.0%YoY
และหากนำสมมุติฐานเงินเฟ้อเดือน พ.ย.65 ที่ระดับ -0.13%MoM มาคิดต่อในเดือน ถัดๆไป จะทำให้เงินเฟ้อทยอยลดลงต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 1%-3% ในไตรมาส 1-2 ปี2566 (ซึ่ง เข้าสู่กรอบเป้าหมายเร็วกว่าที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ในไตรมาส 3 ของปีหน้า) ดังนั้น สัญญาณ อัตราเงินเฟ้อที่ผ่านจุดสูงสุดและมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ถือเป็น Sentiment บวกต่อ SET Index ในระยะถัดไป โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวในระดับ 1610-1630 จุด
สรุป อัตราเงินเฟ้อที่ผ่านพีค ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยผ่อนคลายต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ไทย ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นเด่นรับเงินฟ้อชะลอตัว คือ การเงิน MTC SAWAD, อุปโภคบริโภค CBG CRC COM7, หุ้นปันผลสูงจ่ายปีละครั้ง TISCO AP NOBLE ASK ส่วน Toppicks วันนี้เลือก AP, TISCO, CBG
5 มุม ที่อาจจะส่งผลต่อตลาดหุ้น หากรัฐเก็บภาษีขายหุ้นในปีหน้า
ฝ่ายวิจัยฯ ทำการประเมินสิ่งที่นักลงทุนต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลง หากรัฐบาลมีการ เรียกเก็บภาษีขายหุ้นในปี 2566 จะส่งผลต่อนักลงทุนและตลาดหุ้นดังนี้
1. ภาระค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นสูงขึ้นถึง 64% ของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดย ปัจจุบันธุรกิจโบรกเกอร์มีค่อ Comm. เฉลี่ย 0.086% หากมีการเก็บภาษีขายหุ้น 0.11% (ซึ่งเป็นอัตราการเรียกเก็บภาษีที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2534 แต่ก่อนค่า Comm. สูงกว่าปัจจุบันมาก) จะทำให้นักลงทุนมีภาระค่า Comm. ที่สูงขึ้นถึง 64%
2. ช่วงระยะเวลาในการขึ้นภาษีเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ตามกลไกช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น กดดันระดับ P/E ในการซื้อขายจะถูกลดทอนอยู่แล้ว หากขึ้นภาษีตอกย้ำให้สภาพ คล่องในระบบลดลงอีก
3. ช่วงระยะเวลาในการเก็บภาษีปีหน้าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วง Recession หากมีการขึ้นภาษีเวลานี้ ทำให้เสนห์ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ น้อยลงไป
4. นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้รับภาระค่า Comm. สูงกว่านักลงทุนในประเทศ เนื่องจาก ต่างชาติซื้อขายหุ้นไทย 2022 ต่อปี 8.40 ล้านล้านบาท แต่มีสัดส่วนการ ถือครองหุ้นไทย + NVDR เพียง 28.2% คิดเป็นมูลค่าตลาด 5.58 ล้านล้านบาท แสดงว่ามี Turnover ในการซื้อขายสูงถึง 150% ต่างกับนักลงทุนไทยทั้งหมดซื้อ ขายหุ้นไทย 2022 ต่อปีสูงกว่าต่างชาติเล็กน้อย 9.12 ล้านล้านบาท แต่มีสัดส่วน การถือครองหุ้นไทย สูงถึง 71.8% 14.2 ล้านล้านบาท
5. สถิติในปี 2011 – 2022 (12 ปี) ชี้ให้เห็นว่าผลตอบแทนเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยมัก ไม่ดีในช่วงที่สภาพคล่องซื้อขายต่ำ สะท้อนได้จากข้อมูล Histogram Turnover ของ SET 2011 – 2022 เทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยรายวัน พบว่า เวลาที่มูลค่าซื้อ ขายสูงกว่าค่าเฉลี่ย (Turnover 87% ต่อปี) ถึง +1SD (Turnover 114.5% ต่อปี) ตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 18.3% แต่ถ้ามูลค่าซื้อขายอยู่ใน ระดับปกติ (ช่วง -1SD ถึง ค่าเฉลี่ย) ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะลดหลั่นลงมาเหลือ +5.6% ต่อปี แต่เวลาที่มูลค่าซื้อขายต่ำกว่า -1SD (Turnover 59.7% ต่อปี) ให้ ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ -2.9% ดังนั้นภายใต้มูลค่าซื้อขายที่มีโอกาสลดลงใน อนาคต
สรุปจาก 5 มุมมองดังกล่าว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคต่อตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องเตรียม เผชิญ พร้อมกับปรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2566 ให้เหมาะสมมากขึ้น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities