🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

SET INDEX นิ่งๆ เหนือ 1610 จุด 

เผยแพร่ 22/11/2565 09:30
SETI
-

GDP Growth งวด 3Q65 ของบ้านเราออกมาที่ 4.5% YoY สูงกว่าที่ Consensus คาดไว้ 4.4% และถือเป็นการเติบโต QoQ เป็นไตรมาสที่ 4 ต่อเนื่อง ภาพดังกล่าว ย้ำถึงสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ส่วนแนวโน้มในงวด 4Q65 น่าจะเห็นการเติบโต ในอัตราที่สูงกว่า 3Q65 เนี่องจากเป็น High Season ของภาคการท่องเที่ยว อีกทั้ง ยังน่าจะมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใน Package ของขวัญปีใหม่ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมี ช้อปดีมีคืนกำหนดวงเงินลดหย่อนภาษี 40,000 บาท และ การขยายอายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนฯ+จดจำนอง ออกไป ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามในฐานะแรงกดดัน ได้แก่สถานการณ์ Covid-19 ซึ่งคาดหมายว่าจะกลับมาระบาดรอบใหม่ช่วงปลายปี ต่อเนื่องต้นปีหน้า เฉพาะ อย่างยิ่งในส่วนของจีน ที่ยังใช้นโยบาย Zero Covid

SET Index น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามามี อิทธิพล ประเมินกรอบช่วง 1610 – 1631 จุด สำหรับหุ้น Top Pick วันนี้เลือก BEC, CK และ COM7

โควิดจีนเร่ง กดดันราคาน้ำมัน และสินทรัพย์เสี่ยงช่วงนี้

ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในจีนขยับขึ้นมาอยู่ที่ 24,390 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าตัวในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งก่อนหน้ายังพบผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย ทำให้ทางรัฐบาลจีนเพิ่ม มาตรการควบคุมเข้มงวดขึ้น โดยให้ประชาชนในปักกิ่งอยู่บ้าน และสั่งปิดโรงเรียนหลาย แห่ง รวมถึงประกาศล็อกดาวน์กวางโจว 5 วัน

ความเข้มงวดต่อการรับมือโควิดของจีน ทำให้นักลงทุนกังวลต่อเศรษฐกิจโลกมีโอกาส ชะลอตัวลงได้มากขึ้น กดดันสินทรัพย์เสี่ยงผันผวน รวมถึงราคาที่ลดลงต่อเนื่อง โดยราคา น้ำมันดิบ WTI ช่วง 2 สัปดาห์ลดลงมา -13% ล่าสุดอยุ่ที่ 80 เหรียญ/บาร์เรล

ประเด็นดังกล่าว ถือเป็นกระแสเชิงลบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาไทยได้ช้าลง ซึ่งปัจจุบันเดือน ก.ย. 65 มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา 3.2 หมื่นรายต่อเดือน ต่ำกว่าภาวะปกติ ช่วงก่อนเกิดโควิดมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าเกือบ 1 ล้านรายต่อเดือน (11 ล้านรายต่อปี) อย่างไรก็ตามในภาพระยะยาวน่าจะกระทบต่อประมาณการน้อย เนื่องจากฝ่ายวิจัยฯ คาด ว่านักท่องเที่ยวจีนน่าจะเข้ามาในประเทศไทยชัดเจนในช่วงกลางปี 66 เป็นต้นไป

สรุปประเด็นโควิดที่แพร่ระบาดในจีน น่าจะกดดันให้ราคาน้ำมันย่อตัวลง ถือเป็น กระแสเชิงลบต่อหุ้นที่อิงกับราคา Commodity ขณะทีหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวอาจได้รับ Sentiment เชิงลบช่วงสั้นๆ บ้าง อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องติดตามประเด็นนี้อย่าง ใกล้ชิด เพราะถ้ามีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดจีนก็จะกลับมาเป็น Sentiment บวกหุ้นดังกล่าวแทน

GDP 3Q65 ไทย ขยายตัว 4.5%YOY สูงกว่าคาด

สภาพัฒน์ฯ รายงาน GDP ขยายตัว 4.5%YoY (สูงกว่า Consensus คาดไว้ที่ 4.4%YoY) และขยายตัว 1.2%QoQ ซึ่งถือว่าเป็นการขยายตัวได้ต่อเนื่อง 4 ไตรมาสตั้งแต่ปลายปี 2564 โดยรวมทำให้ GDP 9M65 ขยายตัว 3.1%QoQ

ทั้งนี้ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวส่วนใหญ่มาจากการบริโภค (+9.0%YoY), การ ลงทุนภาคเอกชน (+11.0%YoY), การส่งออก (+9.5%YoY) โดยได้แรงหนุนของมาตรการ ผ่อนคลายควบคุมโควิด-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติได้มาก ขึ้น รวมถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง และสถานการณ์นอก ประเทศที่เริ่มลดความตรึงเครียด ส่วนปัจจัยที่เข้ามากดดันเศรษฐกิจไทย 3Q65 มาจาก การลงทุนภาครัฐ (-7.3%YoY) และการใช้จ่ายภาครัฐ (-0.6%YoY)

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ทางสภาพัฒน์ประเมินว่าปี 65และ 66คาดว่า จะขยายตัว 3.2%YoY และ 3.0 - 4.0%YoY ตามลำดับ อย่างไรก็ตามหากใช้สมมุติฐาน GDP ไตรมาส 4 ที่ระดับ 4.5%YoY จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโต 3.4%YoY ซึ่งใกล้เคียง กับประมาณการ GDP ไทยของสำนักเศรษฐกิจต่างๆ ที่มีค่าเฉลี่ยราว 3.2%YoY

ฝ่ายวิจัยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังมี Momentum ให้ฟื้นตัวต่อไปได้ จากแรง หนุนของภาคการท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (คาดภาครัฐยังมีมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้) และการลงทุนของภาครัฐที่เปลี่ยนจากการเยียวยามาเป็น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อย่างไรก็ตามการประมาณการเศรษฐกิจไทย ควรคำนึงถึงปัจจัยเชิงลบต่างๆ ที่เป็น Downside อาทิ เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะ ถดถอย ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในบ้านเรา

สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส คาดว่ายังเห็น Momentum การฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภายในประเทศ รวมถึงการลงทุน ของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ดีต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อาทิAOT CENTEL CPN, กลุ่ม Domestic Consumption อาทิ CRC COM7, กลุ่มก่อสร้าง – นิคม อาทิ CK STEC

คาดหวังช้อปดีมีคืนและแพ็กเกจของขวัญปีใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีนี้ ชอบ CK COM7 BEC

กระทรวงการคลังได้ข้อสรุปมาตรการช้อปดีมีคืน หรือช้อปช่วยชาติแล้ว โดยจะให้มีผล ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2566 รวม 46 วัน ทั้งนี้คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบได้ภายใน 29 พ.ย.65 ซึ่งมาตรการรอบนี้ สามารถใช้ใบกำกับภาษี มาลดหย่อนได้ ไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งมากกว่ารอบอื่นๆ ที่มีวงเงินเพียง 30,000 บาท

การดำเนินมาตรการรอบนี้ คาดว่าจะทำให้ทางกรมสรรพากรสูญเสียรายได้กว่า 8,200 ล้านบาท แต่จะทำให้เกิดเงินหมุนในระบบกว่า 56,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ราว 0.35%

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าได้ประโยชน์จากโครงการช้อปดีมีคืนมีอยู่ 5 กลุ่มหลัก ดังนี้

• กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL MINT

• กลุ่มขนส่ง BEM

• กลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN

• กลุ่มการเงินและโฆษณา KTC AEONTS BEC

• กลุ่มอุปโภค/บริโภค MAKRO HMPRO CRC CPALL (BK:CPALL) BJC ADVANC SPVI COM7

ทั้งนี้ นอกจากช้อปดีมีคืนแล้ว ก็จะมีแพ็กเกจ "ของขวัญปีใหม่" ทั้งต่อเวลาลดค่าธรรมเนียม โอน-จดจำนองบ้าน-แบงก์รัฐลดดอกเบี้ยลูกหนี้ชำระดีที่จะชงเจ้า ครม. 29 พ.ย.65 นี้ด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

• การขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับ ที่อยู่อาศัยออกไปอีก 1 ปี จากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดในสิ้นปีนี้ โดยการลด ค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% ลงเหลือ 0.01% และลดค่าธรรมเนียมการจำนอง จาก 1% ลงเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ เฉพาะที่มีราคา ซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท

• แบงก์รัฐได้เตรียมมาตรการชำระดีมีคืน เช่นเดียวกับหลายปีที่ผ่านมา โดยลูกค้า ที่มีประวัติการชำระหนี้ดีก็จะได้รับดอกเบี้ยคืน อาทิ ธนาคารออมสิน คืนเงินให้ ลูกค้าที่ชำระหนี้ดี 500 บาท, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คืนเงินลูกค้า สินเชื่อบ้านที่ผ่อนชำระดี ตั้งแต่ 500-1,000 บาท เป็นต้น

สรุป ความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯในช่วงปลายปีนี้ คาดทำให้ เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักอีกรอบ ขณะที่ปีหน้าคาดเห็นนโยบายการลงทุนของภาครัฐ ฯมากขึ้น แทนที่การเยียวยาประชาชนเช่นปีนี้ โดยกระทรวงการคลังคาด GDP Growth ปีหน้าอยู่ที่ 3.8%YoY ดังนั้น กลยุทธ์การวันนี้เลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ ภาครัฐฯในอนาคต เน้นกลุ่ม Domestic Consumption อย่าง BEC COM7 และ CK เป็น Top picks วันนี้

OUTLOOK ไตรมาส 4 กลุ่มวัสดุก่อสร้าง,รับเหมาก่อสร้าง, อสังหา

สัปดาห์นี้ฝ่ายวิจัยฯนำเสนอ OUTLOOK ไตรมาส 4 รายอุตสาหกรรม โดยจะแบ่งเนื้อหาใน ทุกๆวันลง Market Talk ซึ่งมีกำหนดการ ดังนี้

• จันทร์21 พ.ย.65 กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี, โรงไฟฟ้า

• อังคาร 22 พ.ย. 65 กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหา

• พุธ 23 พ.ย.65 กลุ่ม ICT, พาณิชย์

• พฤหัสบดี24 พ.ย.65 กลุ่มธนาคาร, ท่องเที่ยว, ยานยนต์, มีเดีย

• ศุกร์ 25 พ.ย.65 กลุ่มเกษตรอาหาร, เช่าซื้อ และอื่นๆ

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง

งวด 4Q65 จะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วง High Season อีกทั้งตั้งแต่ พ.ย. หลังหมดฤดูฝนและมีการ เก็บเกี่ยวพืชผลการเกษตร อย่างไรก็ตาม แรงกดดันด้านต้นทุนพลังงานยังคงอยู่ ทั้งถ่านหิน ที่กระทบธุรกิจซีเมนต์ ก๊าซธรรมชาติกระทบธุรกิจกระเบื้อง และน้ำมันดีเซลกระทบค่า ขนส่ง ผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่น่าจะทรงตัวเทียบกับ 3Q65 และลดลงเทียบกับ 4Q64

แนวโน้มกำไรปี 2566 จะเติบโตจากฐานต่ำในปีนี้ โดยเฉพาะ SCC ซึ่งกินสัดส่วนกำไร มากกว่า 80% ของกำไรกลุ่มคาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวจาก Volume growth หลังเปิด ดำเนินงานโรงงานปิโตรเคมีต้นน้ำในเวียดนาม ส่วนบริษัทอื่นๆที่คาดหวังการฟื้นตัว เด่น น่าจะเป็น VNG ที่รับประโยชน์เต็มที่จากโครงการลงทุนผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2565

กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

การรับรู้รายได้ของบริษัทรับเหมาฯ ส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามมูลค่า Backlog ในมือ และหมดประเด็นเรื่องแรงงานขาดแคลนหลังมีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม โดยปกติบริษัทรับเหมาฯมักมีการปรับปรุง Budget ก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4 ของปี จึงมีโอกาสสร้าง Negative Surprise โดยบริษัทที่น่าจะทำกำไรเด่นใน 4Q65 คือ STEC เพราะจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการตีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในทุก ไตรมาส 4 ของปีเพิ่มเติมจากธุรกิจก่อสร้างที่คาดจะเป็นไตรมาสที่ทำรายได้สูงสุดเช่นกัน

แนวโน้มกำไรปี 2566 เชื่อบริษัทรับเหมาส่วนใหญ่จะทำกำไรเติบโตตามรายได้ พร้อม คาดหวังกระแสเชิงบวกช่วงกลางปีจากการเลือกตั้งที่ทุกพรรคการเมืองมักใช้นโยบาย ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการหาเสียง บริษัทรับเหมาใหญ่ชอบ CK ที่เด่นทั้งกระแส และผลประกอบการ บริษัทรับเหมาเล็กชอบ NWR ที่ราคาต่ำ Book Value มาก และม้ามืดที่น่าจับตามองคือ TTCL ที่คาดจะ Turnaround กลับมาทำกำไรโดดเด่น หลัง หมดภาระตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญตาม TFRS9 ปีละ 276 ล้านบาท ที่ต้องทำมาตลอด 3 ปี (2563-2565)

กลุ่มเจาะเสาเข็ม

แนวโน้มกำไร 4Q65 ดูดีขึ้นหลังจากที่สามารถแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนได้ด้วยการ นำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาประกอบกับงานเข้ามาในระบบเพิ่มขึ้น

แนวโน้มกำไรปี 2566 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่งเป็นงานที่รับค่าแรงอย่างเดียว, margin สูง และใช้เวลาดำเนินการกว่า 9 เดือน เทียบกับงานเจาะเสาเข็มทั่วๆไปที่มีระยะเวลาเพียง 3-6 เดือน, นอกจากนี้หากเริ่มงาน สีส้มตะวันตก หรือ central north pole ได้ก็จะเป็นการเสริม earning momentum อีก เลือก PYLON เป็น top pick จากการรักษาฐานกำไรได้ในระดับสูงมาต่อเนื่อง

กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย

แนวโน้ม 4Q65 คาดกำไรปกติสูงสุดของปี หนุนจากส่งมอบ Backlog แนวราบที่ยกมาจาก 3Q65, เปิดแนวราบใหม่ และโอนฯ คอนโดฯ ใหม่มากขึ้น รวมถึงอานิสงค์จากโค้งสุดท้าย ของมาตรการลดค่าโอนฯ-จดจำนอง และผ่อนคลาย LTV ที่จะสิ้นสุดลงปีนี้

Valuation หุ้นในกลุ่มฯ ยังน่าสนใจ ด้วยระดับ PER ซื้อขายไม่แพง และคาดหวัง Div Yield เฉลี่ยเกิน 5% ต่อปีเลือกหุ้นเด่น คือ AP (FV@B15.50) จากทิศทางกำไรที่จะ ยกฐานสูงต่อเนื่องปีนี้และปีหน้า รวมถึงปันผลปีละครั้งกว่า 6% ต่อปี นอกจากนี้ยังมี LH (FV@B11.50), SC (FV@4.88) และ SIRI (FV@B1.72) จากกำไร 4Q65 จะโตทั้ง YoY และ QoQ ทำจุดสูงสุดของปี พร้อมให้ปันผลสูงกว่า 6% ต่อปี (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย