SETIndex ปรับขึ้นมายืนเหนือ 1631 จุดตามคาด โดยที่Fund Flow ยังทำหน้าที่ เป้นแรงหนุน โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิทั้งในตลาดหุ้น และ Long ใน Future ต่อ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ โดยนำคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2566 เข้ามาร่วมพิจารณาเพื่อให้เห็นภาพ Real Interest Rate (ดอกเบี้ยนโยบาย หักลบด้วยเงินเฟ้อที่คาดการณ์) ผลที่ออกมา สะท้อนให้เห็นภาพ Real Interest Rate ของสหรัฐที่กลับมาเป็นบวก สะท้อนให้ เห็นภาพของ Fed ที่น่าจะลดระดับการปรับขึ้นดอกเบี้ย และเป็นไปได้ที่จะลดลงใน 2H66 ส่วนบ้านเรา แม้Real Interest Rate ยังติดลบ แต่ก็เชื่อว่า กนง. น่าจะยัง ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภาพดังกล่าวน่าจะหนุนให้เงินบาทไม่กลับไป อ่อนค่า ซึ่งเป็นผลดีต่อทิศทาง Fund Flow ที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ต่อ
ประเมินว่า SET Index ยังอยู่ในช่วงของการแกว่งขึ้น โดยมีกรอบการเคลื่อนไหว ช่วง 1620 –1640 จุด และน่าจะยืนเหนือ 1631 จุดได้มั่นคงยิ่งขึ้น สำหรับหุ้น Top Pick วันนี้เลือก AP, ASK และ OR
ทิศทางเงินบาทมีโอกาสแข็งค่า หนุน FUND FLOW เข้าตลาดหุ้นไทย
ปัจจุบันหลายประเทศยังคงเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูงตามราคาพลังงาน โลก ท่ามกลางความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสร์ และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ส่งผล ให้ธนาคารกลางต่างๆ ดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุก เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และคาดว่าเงินเฟ้อ จะลดลงเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้นในช่วงปี 2566
เมื่อพิจารณาทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไป ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าฝั่งสหรัฐฯ การ ดำเนินนโยบานการเงินของ Fed จะเริ่มชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากก่อนหน้านี้มี การเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย บวกกับคาดการณ์เงินเฟ้อในปี 66 ลดลงมาอยู่ที่ 2.8% ทำให้อัตรา ดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 65F – อัตราเงินเฟ้อ 66F) อยู่ที่ 1.7% ขณะที่ฝั่งยุโรปอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงอยู่ที่ -3.0% ซึ่งเป็นได้ที่ ECB จะเร่งปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่เร็วและแรงต่อเนื่อง เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงเข้าใกล้ศูนย์
ในส่วนของไทยคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยปีนี้จะอยู่ที่ 1.25% และเงินเฟ้อปีหน้าอยู่ที่ 2.6% ทำ ให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงอยู่ที่ -1.35% คาดว่า กนง. จะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ย ต่อเนื่องในรูปแบบแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อกดดันให้เงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3%
การเร่งขึ้นดอกเบี้ยในประเทศอื่นๆ นอกสหรัฐ เป็นตัวช่วยกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์ชะลอ แข็งค่าล่าสุดหลุด 110 จุด ในทางอ้อมถือว่าดีต่อค่าเงินบาทไทยมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้น
สรุป Momentum ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed น่าจะเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่ ECB น่าจะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรง ในส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยบ้านเรายังอยู่ ในรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป คาดเงินบาทกลับมาแข็งค่าต่อเนื่อง หนุน Fund Flow เข้า ตลาดหุ้นไทยได้ในระยะถัดไป
รอลุ้นการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนคาด FED จะขึ้น ดอกเบี้ยชะลอลงชดเชยการกระตุ้นเศรษฐกิจที่หายไป
วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นราว 0.5%-1% โดย Dow Jones พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง กว่า 300 จุด ทะลุแนวต้านระดับ 33,000 จุด โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ขานรับ คาดการณ์ชัยชนะของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอม ตามโพลล่าสุด พรรครีพับลิ กันมีโอกาสครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาซึ่งหากเป็นจริง คาดทำให้ นโยบายของไบเดนสะดุด และถือเป็นการชะลอเศรษฐกิจสหรัฐฯระยะถัดไป ซึ่งเป็นความ เสี่ยงต่อการเกิด Recession ในอนาคต
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาสถิติในอดีตพบว่า หลังรัฐบาลสหรัฐเสียเก้าอี้ในการเลือกตั้ง กลางเทอมในช่วงปี 2002 – 2014 (ไม่รวมปี 2018 เป็นช่วงกังวลประเด็นสงครามทาง การค้า) 1 เดือนหลังจากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐและไทยมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกรอบ โดยดัชนี Nasdaq ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +2.2%, S&P500 +1.3% และ SET +1.3% ตามลำดับ
ซึ่งประเด็นดังกล่าว ทำให้นักลงทุนคาดว่า Fed จะชดเชยการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายในประเทศที่ชะลอลง โดยการลดระดับนโยบายการเงินตึงตัวลง ซึ่งล่าสุดโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยรอบ ธ.ค.65 อีก 0.50% อยู่ที่ 59% ซึ่ง 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้มีโอกาสเพียง 45% ที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยรอบ ธ.ค.65 อีก 0.50%
สรุป การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐที่จะทราบผลวันนี้ เป็นอะไรที่นักลงทุนต้องติดตาม อย่างใกล้ชิด และฝ่ายวิจัยฯ ยังคาดหวังว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาส Outperform ได้ดีตาม สถิติในอดีต ขณะที่ความคาดหวังว่า FED จะดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อน คลายลง เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ คาดทำให้ตลาดหุ้นกลับมาสดใสอีกครั้ง
FUND FLOW ไหลเข้าตลาดการเงินไทยหนาแน่น หวังไหลเข้าตลาดหุ้น เพิ่มในระยะถัดไป
ในช่วงนี้เห็น Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน 13 วันทำการ คิดเป็นมูลค่าซื้อ สุทธิรวม 3.2 หมื่นล้านบาท และยังคาดหวังการไหลเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง สะท้อนได้จาก Fund Flow ที่ไหลเข้ามาพักในตราสารหนี้ระยะสั้น (Bond อายุน้อยกว่า 1 ปี) กว่า 7.39 หมื่นล้านบาท และเป็นการไหลเข้ามาในปริมาณมากในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เกินวันละ 3 หมื่นล้านบาท
Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้น และตราสารหนี้ระยะสั้นไทย (20 ต.ค. – 8 พ.ย. 65)
ฝ่ายวิจัยฯ ทำการเปรียบเทียบข้อมูลในอดีต พบว่า “เวลา Fund Flow ไหลเข้าตลาดสาร หนี้ระยะสั้นไทยปริมาณมาก ในเวลาถัดมามักจะเห็นการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เช่นกันในช่วง 1 ถึง 2 เดือนข้างหน้า” สังเกตได้จากค่า Correlation ของ Fund Flow ในช่วงที่ไหลเข้าตลาดหุ้น พร้อมกับตราสารหนี้ระยะสั้น จะมีค่า Correlation อยู่ที่ 0.8 และจะมีค่า Correlation สูงขึ้นเรื่อยๆ อยู่ที่ 0.88 และ 0.94 เมื่อเลื่อนข้อมูล Fund Flow ออกไป 1 เดือน และ 2 เดือน ตามลำดับ
สรุป Fund Flow ต่างชาติน่าจะมี Momentum ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อในช่วงที่ เหลือของปี สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวหุ้นในวันนี้ 1620 – 1640 จุด Toppick แนะนำ AP, OR, ASK
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities