ตัวเลขดุลการค้าเดือน ก.ย.65 ของบ้านเรา มีพัฒนการเชิงบวก โดยขาดดุลการค้า ลดลงเหลือ 853 ล้าน USD เทียบกับงวด 9M65 ที่ขาดดุล 14,985 ล้าน USD ซึ่ง หากนำไปพิจารณาร่วมกับดุลบริการที่กำลังดีขึ้นหลังจากที่เราเปิดประเทศรับ นักท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว ก็น่าจะมีส่วนหนุนทำให้สถานการณ์การขาดดุลบัญชี เดินสะพัด ที่เป็นปัญหายืดเยื้อมาตั้งแต่ พ.ย.63 มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อ ค่าเงินบาทให้กลับมาแข็งค่า โดยที่มีแรงเสริมจากเงิน USD ที่อ่อนค่าเป็นแรงเสริม ซึ่งทิศทางของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จะมีส่วนอย่างสำคัญในการกระตุ้นให้ Fund Flow ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ทางด้าน Valuation ของตลาดหุ้นไทยประเมินว่ายัง ไม่แพง โดยมีหุ้นที่ PER ไม่เกิน 15 เท่า อยู่เป็นส่วนใหญ่ และหากมองในมุมของ PBV พบว่าอยู่ที่ 1.57 เท่า ต่ำกว่าระดับ -1SD และถือเป็นแนวรับสำคัญ
เชื่อว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนจาก Fund Flow และผลักดันให้ SET Index สามารถยืนเหนือ 1600 จุดได้ต่อ วันนี้ประเมินกรอบ 1590 – 1613 จุด สำหรับหุ้น Top Pick วันนี้ เลือก CRC, CPN และ LH
ตลาดหุ้นผันผวนในช่วงสั้น จากความเสี่ยงที่เข้ามาเป็นระยะ
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวราว –2% ถึง +0.8% โดยตลาดหุ้น Nasdaq ผันผวนสูง เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐร่วงลงแรง อาทิ Alphabet ติบลบ 9.6%, Microsoft ติบลบ 7.7% หลังการรายงานผลประกอบการ 3Q65 ลดลงต่ำที่กว่าคาดการณ์ไว้ รวมถึง Pre Open เช้านี้ Meta (Facebook) ลงไป -20%
ขณะที่ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาตร์เข้ามาต่อเนื่องเช่นกัน โดยล่าสุด 3 ชาติพันธมิตร ได้แก่ สหรัฐฯ-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เตือนว่าจะตอบโต้อย่างหนัก หากเกาหลีเหนือทดสอบอาวุธ นิวเคลียร์ในครั้งที่ 7 ในเร็ววันนี้ ขณะที่ฝั่งเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ต่างออกมาระบุว่า เกาหลี เหนือเตรียมความพร้อมเสร็จสรรพแล้วในการทดสอบดังกล่าว
แม้ตลาดหุ้นจะผันผวน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากผลตอบแทนในตลาดหุ้นสหรัฐ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ยังอยู่ในแดนบวก โดย Down Jones +2.4%wtd, S&P500 +2.1%wtd, Nasdaq +1.0%wtd ทั้งนี้แม้ฝ่ายวิจัยคาดว่าแรงกดดันจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มี ต่อตลาดหุ้นน้อยลง แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามในฐานะปัจจัยเสี่ยง
ส่งออกไทยยังดูดีตามคาด หนุนเม็ดเงินไหลเข้า SET INDEX ต่อไป
กระทรวงพาณิชย์เผยมูลค่าส่งออก เดือน ก.ย.65 อยู่ที่ 24,919.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.8% (สูงกว่าคาดที่ +4.4%YoY) ทำให้การส่งออกในช่วง 9 เดือนของปีนี้ (ม.ค. – ก.ย. 65) ขยายตัว 10.6% ที่มูลค่า 221,366.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่มีส่งออกได้ ดี ได้แก่อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
ส่วนการนำเข้าในเดือน ก.ย. มีมูลค่า 25,772.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.6% (ต่ำกว่า คาดที่ +20.0%YoY) ส่งผลให้การนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัว 20.7% ที่ มูลค่า 236,351.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ดุลการค้าในเดือน ก.ย.65 ขาดดุล 853.2 ล้าน เหรียญสหรัฐ (41.4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุลกว่า 4,215 ล้าน เหรียญสหรัฐ โดยหากนำดุลการค้ามาคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่ระดับ -1.22% ซึ่งเริ่ม ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ระดับ -6.04%
โดยหากพิจารณาดุลบัญชีเดินสะพัดที่สะท้อนภาคเศรษฐกิจจริงในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ส.ค.) ขาดดุลกว่า 18,310 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบ กับช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยประเมินว่าในช่วงที่เหลือของ ปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัว และทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีพัฒนาการเชิงบวก โดยมี 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
• ดุลการค้าขาดดุลลดลง หลังมูลค่าการส่งออกดีขึ้นตามการเปิดประเทศของ ประเทศต่างๆ(อ้างอิงจากเนื้อหาด้านบน) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรง ในช่วง 2 -3 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มูลค่า การนำเข้าลดลง ผลักดันดุลการค้าให้สูงขึ้นในอนาคต
• ดุลบริการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งล่าสุดจีนวางแผนเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศมากขึ้น เป็น 840 เที่ยวต่อสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. – 25 มี.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้น 106% จาก ช่วงเดือนต.ค. 2564 อีกทั้งจีนยังมีโอกาสลดช่วงเวลากักตัวสำหรับนักเดินทาง ต่างชาติ ลงเหลือ 7 วัน คาดทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวเด่นต่อไป ขณะที่หากพิจารณารายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งนอกและในประเทศในภาวะปกติ ณ ปี 2562 มีมูลค่าราว 1.97 ล้านล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 12.1% ของ GDP) ซึ่ง หากนำสมมุติฐานของ ททท. ที่คาดมีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ณ สิ้นปีนี้ คิดเป็น สัดส่วน 1.44% ของ GDP เท่านั้น ทำให้ภาวะปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังมีช่องว่างให้ เติบโตได้จากส่วนของรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งนอกและในประเทศ
โดยหุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์จากปัจจัยข้างต้นมีดังนี้
• กลุ่มท่องเที่ยว AOT (BK:AOT) CENTEL ERW MINT
• กลุ่มคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ KCE HANA DELTA
• กลุ่มการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ RCL AMA TTA III
• หุ้น Theme เปิดเมืองของจีน CBG KISS TKN BEAUTY AU
ขณะที่ฝั่ง Dollar Index ล่าสุดอยู่ระดับ 109.78 จุด โดยมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากการ แทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลางของฝั่งเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น และ จีนที่พยายามทำให้ค่าเงิน ประเทศตนเองแข็งค่าขึ้น บวกกับ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มดำเนินนโยบาย ทางการเงินเชิงรุกลดลง โดยคาดดอกเบี้ยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 4.50% และดอกเบี้ยสิ้นปีหน้าอยู่ที่ 4.75% เท่านั้น
ประเด็นดังกล่าว บวกกับการขาดดุลการค้าที่ลดลง ทำให้ส่งผลให้เงินบาทเป็นตัวขึ้นแข็งค่า ในทันทีราว 37.7 บาท/เหรียญฯ คาดทำให้Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าในอนาคต และ เป็นแรงหนุนหลักในการผลักดัน SET Index
สรุป มูลค่าการส่งออกเดือน ก.ย.65 ออกมาดีกว่าคาด หนุนให้ดุลการค้าขาดดุลลดลง บวกกับ Dollar Index มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในอนาคต และเป็นปัจจัยหนุนให้ Flow ต่างชาติไหลเข้า SET Index ระยะถัดไป โดยวันนี้มอง กรอบการเคลื่อนไหวระดับ 1590-1613 จุด
FUND FLOW ยังไหลเข้าหุ้นไทยต่อ น้ำหนักยังเอนเอียงไปหุ้น DOMESTIC CONSUMPTION
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจาก Fund Flow ต่อเนื่อง โดย ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยติดต่อกัน 4 วัน มีมูลค่ารวม 7.14 พันล้านบาท พร้อมกับซื้อสุทธิ สัญญา SET50 Futures ต่อเนื่อง 6 วันทำการ มูลค่ารวมกว่า 109,851 สัญญา หนุนให้ SET Index ทยอยฟื้นขึ้น จนล่าสุดผลตอบแทนตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ขยับมาเป็นบวก เล็กน้อย 0.44%mtd
แต่หากพิจารณาลงไปในราย Sector จะพบว่า นักลงทุนเอนเอียงการลงทุนไปในหุ้น Domestic Consumption เป็นหลัก สะท้อนได้จากกลุ่มหุ้นที่ Outperform เด่นในช่วงนี้ อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว +3.3%mtd, กลุ่มอสังหาฯ +3.2%mtd, กลุ่มรับเหมาฯ +3.1%mtd, กลุ่มธ.พ. +2.8%mtd และกลุ่มค้าปลีก +2.6%mtd
ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่ากลุ่มหุ้น Domestic Consumption ยังมีโอกาส Outperform ต่อ ในช่วงที่เหลือของปี บวกกับยังมีหลาย Sector ที่เข้าสู่ช่วง High Season หรือผล ประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่องในงวด 4Q65 แนะนำ CBG CRC HMPRO CPN LH BBL ASK
ส่วน Top pick วันนี้เลือก CPN, CRC, LH
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities