ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ความสนใจยัง อยู่ที่แนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางแต่ละประเทศ ส่วนในบ้านเรา จับตาค่าเงินบาท ซึ่งผันผวนมากขึ้น แต่ก็ปรากฎให้เห็นถึงเหตุปัจจัยที่จะทำให้ไม่ อ่อนค่าไปสร้าง New High ไม่ว่าจะเป็น Dollar Index ที่นิ่งและเริ่มอ่อนลง พัฒนาการเชิงบวกของเศรษฐกิจไทย และโอกาสที่ธนาคารกลางอาจเข้ามา แทรกแทรง ตลาด สภาวะดังกล่าวทำให้ยังเชื่อว่า Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้า ส่วนปัจจัยอื่นที่ดูเป็นแรงหนุนตลาดหุ้น ได้แก่ ความเป็นไปได้ที่ จีนจะประกาศลด วันกักตัวกรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศ จาก 10 วันเหลือ 7 วัน (2 วันใน โรงแรม และ 5 วันที่บ้าน) หากมีการประกาศใช้จริงก็จะเป็นผลดีต่อกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรม สำหรับ SET Index วันนี้คาดว่าจะยังอยู่ในกรอบแคบๆ ซึ่งเป็นปกติก่อน วันหยุดยาว
คาด SET Index ผันผวนในกรอบแคบช่วง 1576 – 1600 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่ มีการปรับเปลี่ยน แตให้ยกจุด Stop profit หุ้น KCE ขึ้นม เพื่อ Lock กำไร หุ้น Top Pick เลือก CBG, CRC และ TU
ตลาดตอบรับความกังวล RECESSION ไประดับหนึ่ง ส่วนไทยเริ่มเห็น สัญญาณที่ดีของ FLOW ต่างชาติ
ตลาดหุ้นตอบรับประเด็น Recession, การเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย มาในระดับหนึ่ง แม้ เมื่อคืนที่ผ่านมา จะมีความกังวลเพิ่มเติมจาก Bond Yield สหรัฐฯที่ยังปรับตัวขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยBond Yield สหรัฐ 10 ปี พุ่งอยู่ที่ 4.2% ขณะที่ Bond Yield สหรัฐ 2 ปี พุ่ง ทะลุ 4.6% ทำจุดสูงสุดใหม่รอบ 16 ปี(เกิด Invert Yield Curve อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ค.65) แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯย่อตัวลง -0.3% ถึง -0.6% รวมถึง Dollar Index ทรงตัวอยู่ ระดับ 112 จุด ไม่ได้เร่งขึ้นมาแรงเหมือนช่วงก่อนหน้า
ขณะเดียวกันค่าเงินบาทของไทยก็ทรงตัวอยู่ระดับเดิม แม้วานนี้ค่าเงินบาทมีการแกว่งอ่อน ค่า แต่ไม่ปรับขึ้นเกินระดับแนวต้าน 38.50 บาท/เหรียญฯ ซี่งระยะถัดไปมีโอกาสที่จะเห็น ค่าเงินบาทชะลอการอ่อนค่าลงได้ จากความหวังการเปิดประเทศของจีนในอนาคต (รายละเอียดอยู่หัวข้อถัดไป) รวมถึงดอลลาร์ที่มีโอกาสชะลอการอ่อนจากประเทศอื่นๆ เริ่มเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อ Fund Flow ต่างชาติให้ไหลเข้าหุ้นไทยด้วย
นอกจากนี้เริ่มเห็นสัญญาณการไหลเข้าของ Fund Flow โดยวานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้น ไทยกว่า 2.5 พันล้านบาท และ Long SET50 Futures และ 11,881 สัญญา (สะสม 3 วัน 70,535 สัญญา) ตามลำดับ
สรุป ตลาดหุ้นซึมซับกับคำว่า Recession และการเร่งขึ้นดอกเบี้ย มาในระดับหนึ่ง ทำ ให้ดอลลาร์ชะลอแข็งค่า ดีต่อค่าเงินบาทให้ชะลอการอ่อนค่า บวกกับความคาดหวัง การเปิดประเทศของจีน คาดส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยระยะถัดไป แนะนำ หุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่สภาพคล่องสูง คาดหวังแรงหนุนจาก Fund Flow อย่าง BBL CRC HMPRO CBG CPN และ SCGP ส่วน SET Index วันนี้คาดอยู่ในกรอบ 1576 – 1600 จุด หุ้น Top Pick เลือก CBG, CRC และ TU
ถ้าจีนลดวันกักตัว จะดีต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย
ภาคการท่องเที่ยวไทยมีปัจจัยเชิงบวกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจากแหล่งข่าว Bloomberg ทางการจีนกำลังพิจารณาลดวันกักตัว (ยังไม่เป็นทางการ) สำหรับผู้เดิน ทางเข้าประเทศจีน โดยเดิมแบ่งเป็นกักตัวในโรงแรม 7 วัน และที่บ้าน 3 วัน (รวม 10 วัน) เปลี่ยนเป็นกักตัวในโรงแรม 2 วัน และที่บ้านต่ออีก 5 วัน (รวม 7 วัน) ซึ่งมาตการดังกล่าว อาจจูงใจให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมากขึ้น โดยประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายหลัก ของชาวจีนจากจำนวนที่เดินทางเข้ามาในไทยอย่างล้นหลามและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ช่วงก่อนโควิด (สูงสุด 11 ล้านคน ปี 2562) ขณะที่ปัจจุบันยังถือว่านักท่องเที่ยวเดินทางเข้า ไทยในสัดส่วนที่ต่ำ เดือนละราว 1 หมื่นคน (ปกติเกือบ 1 ล้านคนต่อเดือน) และในอนาคต ยังมี Upside อีกมาก เบื้องต้นฝ่ายวิจัยจึงคาดว่ามาตรการผ่อนคลายการเดินทางของจีน จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 10 ล้านคนในปีนี้ และ 20 ล้านคนในปีหน้า สอดคล้องกับประมาณการของ ททท. ซึ่งถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่ม ท่องเที่ยวอาทิAOT, ERW, CENTEL, MINT
ขณะเดียวกันในบ้านเราก็คาดว่าภาครัฐจะมีการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ภายในประเทศต่อเนื่องช่วงปลายปีนี้อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 รวมถึงการขยายเวลา เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 ที่ผลการวิจัยของ 3 สถาบันการศึกษา (NIDA, ม.ราชภัฏสวนสุนัน ทา และม.ราชภัฏภูเก็ต) คาดเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 44% หวังโกยรายได้ เพิ่ม 2.5 หมื่นล้าน ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะช่วยหนุนกำลังซื้อประชาชนเพิ่มขึ้นดีต่อหุ้น กลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก อาทิ CPALL (BK:CPALL), CPN, AWC, BGC
สรุป ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มมีสัญญาณเชิงบวกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากมาตรการผ่อน คลายการเดินทางของประเทศต่างๆ และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ คาดเศรษฐไทยจะสามารถกลับมาขับเคลื่อนด้วยภาคการท่องเที่ยวอีกครั้งในไม่ช้า
ดีลทรู-ดีแทค ควบรวมได้ภายใต้มาตรการกำกับ
ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ มีมติเสียงข้างมาก 3 : 2รับทราบการควบรวมกันระหว่าง ทรู-ดีแทค ตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจฯ ปี2561 โดยทาง กสทช. ได้กำหนด มาตรการเฉพาะที่จะใช้กำกับ เช่น ต้องลดค่าบริการเฉลี่ยลง 12% ใน 90 วัน, ต้องแยกแบ รนด์กัน 3 ปี, และต้องมีโครงข่าย 5 จี ต้องครอบคลุม 85% ของประชากรใน 3 ปี, ฝ่ายวิจัยมองว่าข่าวนี้เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มมือถือ ดังนี้
- เป็นบวกต่ออุตสาหกรรมการให้บริการมือถือ เพราะหลังการควบรวม จำนวนผู้ เล่นหลักในตลาดผู้ให้บริการมือถือลดลงจาก 3 ราย เหลือ 2 ซึ่งจะทำให้การแข่งขันมี แนวโน้มจะลดความรุนแรงลงจากปัจุบันได้
- เป็นบวกต่อ TRUE และ DTAC ในด้านของศักยภาพในการแข่งขันจากฐานลูกค้าที่ จะเพิ่มจากสิ้นงวด 2Q65 ที่มีลูกค้าอยู่ 33.3 ล้านราย และ 20.3 ล้านราย ตามลำดับ เป็น 53.6 ล้านราย หรือมีส่วนแบ่งการตลาดฐานลูกค้าประมาณ 50% นอกจากนี้ยังคาดหวังผล ประกอบการที่ดีขึ้นจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่จะลดลง
- เป็นบวกต่อ TRUE และ DTAC ในด้านของศักยภาพในการแข่งขันจากฐานลูกค้าที่ จะเพิ่มจากสิ้นงวด 2Q65 ที่มีลูกค้าอยู่ 33.3 ล้านราย และ 20.3 ล้านราย ตามลำดับ เป็น 53.6 ล้านราย หรือมีส่วนแบ่งการตลาดฐานลูกค้าประมาณ 50% นอกจากนี้ยังคาดหวังผล ประกอบการที่ดีขึ้นจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่จะลดลง
ขั้นตอนต่อไป คือ TRUE และ DTAC จะมีการจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUE และ DTAC (ราคาเสนอซื้อที่ 5.09 บาท และ 47.76 บาท ตามลำดับ) และจัดประชุม ผู้ถือหุ้นทั้ง TRUE และ DTAC เพื่อให้อนุมัติเกี่ยวกับบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวม จึงจะดำเนินการตั้งบริษัทใหม่ ซึ่งคาดจะเกิดได้ในปลายปีนี้ หรือต้น ม.ค.66 ทั้งนี้เรายังคง คำแนะนำ “ซื้อ” DTAC (ราคาเป้าหมายรวมประโยชน์จากการควบรวม 58.0 บาท) แต่ แนะนำ SWITCH จาก TRUE ไป DTAC (ราคาเป้าหมาย 5.70 บาท) หลังราคาหุ้น TRUE ขึ้นมาสูงกว่าราคาเสนอซื้อแล้ว และทำให้คิดเป็นต้นทุนในการแปลงเป็นบริษัทใหม่ที่สูง กว่าการแปลงจาก DTAC ไปเป็นบริษัทใหม่
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities