ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ในเวลา 07:00 ได้มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆกัน นั่นคือ ตลาดหุ้นจีนฟิวเจอร์ส ตลาดหุ้นยุโรปฟิวเจอร์ส และตลาดหุ้นสหรัฐฟิวเจอร์ส ซึ่งเป็น 3 ตลาดหลักของโลก ได้มีการพุ่งขึ้นเป็นอย่างมาก
และยังรวมไปถึงตลาดหุ้นที่สำคัญทั่วโลกอื่นๆอย่าง ตลาดหุ้นเยอรมนีฟิวเจอร์ส ตลาดหุ้นอังกฤษฟิวเจอร์ส ตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟิวเจอร์ส ตลาดหุ้นออสเตรเลียฟิวเจอร์ส ที่ก็ได้พุ่งขึ้นไปตามๆกันด้วย
และการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างพร้อมเพรียงกันนี้เองที่ส่งผลให้ราคา BTC และ ETH ได้มีการพุ่งขึ้นอีกด้วย
ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY นั้นได้มีการร่วงลงอย่างรุนแรงในเวลาเดียวกัน จากระดับ 110.2 จุด ลงมาถึงระดัย 109.2 จุดเลยทีเดียว
และจากการร่วงลงของดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY นี้เอง ที่ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างมากจากระดับ 1,712$ ขึ้นไปถึงระดับ 1,726$ เลยทีเดียว ในเวลาเดียวกันนั่นเอง
นั่นคือ ทั้งตลาดหุ้นทั่วโลก ทองคำ และ BTC ETH ได้มีการพุ่งขึ้นในเวลา 07:00 พร้อมๆกัน
เกิดอะไรขึ้นกับตลาดในช่วงนั้น เราจะมาหาคำตอบกัน
นายหยาง อินข่าย รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนเปิดเผยในเมื่อวานนี้ (5 ก.ย.) ว่า จีนจะยกระดับการส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม และไตรมาสที่ 3/2565 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการออกมาตรการเชิงนโยบาย โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะสกัดกั้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ทั้งนี้ นายหยางแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ กรุงปักกิ่งว่า จีนจำเป็นต้องสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะรักษาการดำเนินการทางเศรษฐกิจให้อยู่ภายในกรอบที่เหมาะสม และบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
จากข่าวนี้ที่ได้ออกมาในช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ รวมไปถึงข่าวที่อังกฤษได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ในช่วงเย็นของเมื่อวานนี้เช่นกัน ซึ่งทาง ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษนั้นมีแผนการลดภาษีเพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน จึงทำใมห้ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวานนี้แล้ว ในวันที่ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติของสหรัฐ
นางลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษตามคาด หลังประสบชัยชนะในการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษในเมื่อวานนี้
ทั้งนี้ ผู้ชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษโดยอัตโนมัติ เนื่องจากทางพรรคครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ
การชนะการเลือกตั้งดังกล่าวทำให้นางทรัสส์กลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 3 ของอังกฤษ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของอังกฤษในรอบ 6 ปี โดยนางทรัสส์จะเป็นนายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนม.ค.2568 แต่คาดว่านางทรัสส์จะมีความยินดีต่อชัยชนะได้ไม่นาน ก่อนที่จะกลับสู่ความเป็นจริงในการเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของอังกฤษ
ซิตี้กรุ๊ปออกรายงานเตือนว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษจะพุ่งทะลุ 18% ในเดือนม.ค.2566 โดยได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น
ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญภาวะถดถอยยาวนานกว่า 1 ปี โดยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 จนถึงสิ้นปี 2566
BoE คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญภาวะถดถอยนานถึง 5 ไตรมาส ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการเงิน โดยรายได้ในภาคครัวเรือนของอังกฤษจะทรุดตัวลงอย่างหนักในปี 2565-2566 ขณะที่การบริโภคเริ่มหดตัว
นอกจากนี้ หลายฝ่ายกังวลต่อสถานะทางการคลังของอังกฤษ เนื่องจากนางทรัสส์มีนโยบายปรับลดอัตราภาษี รวมทั้งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือนของอังกฤษ
นางลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ เคยให้คำมั่นว่า จะดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นและจัดหาพลังงานเข้าประเทศมากขึ้นทันที หากได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของอังกฤษในสัปดาห์นี้
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในช่วงก่อนที่จะมีการประกาศว่าใครจะได้ดำรงตำแหน่งแทนที่นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันนั้น นางทรัสส์ได้ย้ำถึงคำมั่นสัญญาผ่านทางหนังสือพิมพ์ซันเดย์ เทเลกราฟว่า จะจัดการปัญหาเศรษฐกิจของอังกฤษ ซึ่งกำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงถึง 10% และภาวะถดถอย
ทั้งนี้ นางทรัสส์ยืนยันว่า เธอเข้าใจดีว่า วิกฤตค่าครองชีพส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างไรพร้อมระบุว่า จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อรับประกันว่า ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะสามารถผ่านพ้นฤดูหนาวในปีนี้และปีหน้าไปได้
นางทรัสส์ได้ประกาศมุมมองของตนเองที่มีต่อแนวทางของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) การปรับลดภาษี และแผนที่จะเนรเทศผู้อพยพไปยังรวันดา รวมถึงวิกฤติค่าครองชีพของอังกฤษที่รุนแรงขึ้น
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์ (5 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่นักลงทุนให้ความสนใจกับการแต่งตั้งนางลิซ ทรัสส์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,287.43 จุด เพิ่มขึ้น 6.24 จุด หรือ +0.09%
นางลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษตามคาด หลังได้รับชัยชนะในการแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษ
นางทรัสส์มีนโยบายปรับลดอัตราภาษี รวมทั้งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือนของอังกฤษ ซึ่งความหวังเกี่ยวกับการสนับสนุนด้านนโยบายหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก รวมถึงหุ้นเน็กซ์ และหุ้นเจดี สปอร์ตส์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นเชลล์และหุ้นบีพี ซึ่งพุ่งขึ้น 1% และ 2.1% ตามลำดับ หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้นเกือบ 2%
หุ้นคันทรีไซด์ ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างบ้าน พุ่งขึ้น 5.2% หลังบริษัทวิสทรีซึ่งเป็นคู่แข่ง ตกลงซื้อคันทรีไซด์เป็นวงเงินราว 1.25 พันล้านปอนด์ (1.43 พันล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนธุรกิจบ้านราคาถูก
นอกจากสองข่าวข้างต้นดังที่กล่าวมาแล้วที่ได้หนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวขึ้นในเมื่อคืนนี้ ยังมีอีกหนึ่งข่าวที่สำคัญมากๆครับ ที่ได้หนุนให้ทั้งตลาดหุ้นทั่วโลก ทองคำ และ BTC ได้มีการพุ่งขึ้นอย่างมากในเวลา 07:00 ที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นข่าวที่ทางธนาคารกลางจีนได้ประกาศออกมาเมื่อเช้านี้
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองเงินตราต่างประเทศลงสู่ระดับ 6% จากระดับ 8% เพื่อเพิ่มความสามารถของสถาบันการเงินในการใช้เงินตราต่างประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.นี้เป็นต้นไป
จีนกำหนดค่ากลางเงินหยวนมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ติดต่อกันเป็นวันที่ 10 พร้อมอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สำรองเงินตราต่างประเทศลดน้อยลง ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนที่สุดในการรักษาเสถียรภาพเงินหยวนที่กำลังอ่อนค่าลง
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) กำหนดค่ากลางเงินหยวนที่ 6.9096 หยวนต่อดอลลาร์ในวันนี้ (6 ก.ย.) ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบกว่า 2 ปี แต่ยังสูงกว่าที่คาดติดต่อกันเป็นวันที่ 10 ขณะที่ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 ก.ย.) PBOC ประกาศให้สถาบันการเงินสำรองเงินตราต่างประเทศเพียง 6% ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. จากปัจจุบันอยู่ที่ 8% ซึ่งจะช่วยเพิ่มอุปทานเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการลดสัดส่วนการกันเงินสำรองเงินตราต่างประเทศ 2% นี้ถือเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2547
แม้การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยจำกัดการปรับตัวลงของค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ดูเหมือน PBOC ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะผลักดันให้หยวนแข็งค่า โดยจีนอาจต้องการชะลอการอ่อนค่าของหยวน แต่ไม่ได้วางกรอบค่าเงินหยวนเป็นพิเศษในขณะนี้
คำถามคือจีนจะดำเนินการครั้งใหญ่เพิ่มเติมหรือไม่ หากเงินหยวนเริ่มเข้าใกล้ระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 7 หยวนต่อดอลลาร์
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สกุลเงินหยวนอ่อนค่าลง 2.5% เนื่องจากกลยุทธ์โควิดเป็นศูนย์ของจีนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกของสหรัฐได้เร่งให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดจีน โดยปัญหาหยวนอ่อนค่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันอ่อนไหวสำหรับจีน ซึ่งกำลังเตรียมจัดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีกำหนดจัดขึ้นทุก 5 ปี เพื่อปรับคณะผู้บริหารประเทศในเดือนต.ค. ดังนั้น การรักษาเสถียรภาพตลาดปริวรรตเงินตราจึงถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับทางการจีน เพราะการอ่อนค่าลงอย่างไม่เป็นระบบระเบียบของหยวนอาจกระจายไปสู่ตลาดหุ้น และก่ออันตรายต่อเสถียรภาพทางการเงิน
ค่าเงินหยวนในตลาดจีนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่ 6.9357 หยวนต่อดอลลาร์ ณ เวลา 10:54 น.ตามเวลาจีน หรือ 09.54 น.ตามเวลาไทย โดยนักลงทุนเงินตราจับตาอัตราค่ากลางเงินหยวนที่ 6.9 หยวนต่อดอลลาร์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเคยนำไปสู่การร่วงลงอย่างหนักของค่าเงินหยวนมาแล้วในอดีต
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ได้มีการย่อตัวลงอีกครั้งจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตพลังงานในยุโรป รวมไปถึงมาตรการล็อกดาวน์ในจีน
และจากการย่อตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลกนี้เอง ได้ทำให้ BTC ร่วงลงกลับมาที่เดิมในเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงหลังจากที่ได้พุ่งขึ้นไปก่อนหน้านั้น
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวลดลงเล็กน้อยในช่วงเช้านี้ โดยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นยุโรปซึ่งถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับปริมาณพลังงาน หลังจากบริษัทก๊าซพรอมของรัสเซียยังคงปิดท่อส่งก๊าซให้กับเยอรมนี
หลังเปิดตลาด 15 นาที ดัชนีนิกเกอิลดลง 12.17 จุด หรือ -0.04% สู่ระดับ 27,607.44 จุด หลังจากเปิดตลาดที่ระดับ 27,650.15 จุด เพิ่มขึ้น 30.54 จุด หรือ +0.11%
หุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงเช้านี้นำโดยกลุ่มเครื่องจักร, กลุ่มบริการ และกลุ่มขนส่งทางอากาศ
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดบวกเล็กน้อยเช้านี้ โดยฟื้นตัวขึ้นจากแรงช้อนซื้อหุ้น หลังจากตลาดปิดลบเมื่อวานนี้
ทั้งนี้ ดัชนีฮั่งเส็งเปิดตลาดที่ระดับ 19,261.70 จุด เพิ่มขึ้น 36 จุด หรือ +0.19%
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการล็อกดาวน์เมืองต่าง ๆ ของจีนเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดตลาดที่ระดับ 3,207.93 จุด เพิ่มขึ้น 8.02 จุด หรือ +0.25%
มีรายงานล่าสุดว่า เมืองกุ้ยหยาง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลกุ้ยโจว ประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ส่วนใหญ่เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เทศบาลเมืองกุ้ยหยางสั่งล็อกดาวน์ชุมชนใน 6 เขตจากทั้งหมด 10 เขตเป็นเวลา 4 วันจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. โดยประชาชนใน 6 เขตที่ถูกล็อกดาวน์นั้นจะได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านก็ต่อเมื่อไปรับการตรวจเชื้อโควิด-19 เท่านั้น และการบริการรถแท็กซี่ทั้งหมดจะหยุดให้บริการ
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,650.15 จุด เพิ่มขึ้น 30.54 จุด หรือ +0.11% แต่พลิกปรับตัวลดลง 12.17 จุด หรือ -0.04% สู่ระดับ 27,607.44 หลังเปิดตลาด 15 นาที, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,261.70 จุด เพิ่มขึ้น 36 จุด หรือ +0.19% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,207.93 จุด เพิ่มขึ้น 8.02 จุด หรือ +0.25%
ผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า RBA จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ 2.35% ขณะที่ ดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยสู่ 0.6828 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองเงินตราต่างประเทศลงสู่ระดับ 6% จากระดับ 8% เพื่อเพิ่มความสามารถของสถาบันการเงินในการใช้เงินตราต่างประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.นี้เป็นต้นไป
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดเช้าบวกเพียงเล็กน้อยในวันนี้ โดยได้อานิสงส์จากแรงช้อนซื้อหุ้นหลังตลาดปิดลบ 4 วันทำการติดต่อกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออกได้แรงซื้อจากการอ่อนค่าของสกุลเงินเยนเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 24 ปี
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดภาคเช้าที่ 27,624.96 จุด เพิ่มขึ้น 5.35 จุด หรือ +0.02%
หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้านี้นำโดยกลุ่มเครื่องมือชั่งตวงวัด, กลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนกลุ่มเหล็กและเหล็กกล้า ขณะที่หุ้นลบนำตลาดได้แก่ กลุ่มขนส่งทางทะเล, กลุ่มบริการ รวมถึงกลุ่มพลังงานไฟฟ้าและก๊าซ
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าปรับตัวลง หลังจากที่เปิดตลาดในแดนบวก ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาวิกฤตพลังงานในยุโรปอย่างใกล้ชิด หลังจากบริษัทก๊าซพรอมของรัสเซียยังคงปิดท่อส่งก๊าซให้กับเยอรมนี
ดัชนีฮั่งเส็งปิดภาคเช้าที่ระดับ 19,144.85 จุด ลดลง 80.85 จุด หรือ -0.42%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่จีนสั่งล็อกดาวน์เมืองต่าง ๆ เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ด้วย
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวแบบผสมผสานในวันนี้ ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ตามคาด
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 27,624.96 จุด เพิ่มขึ้น 5.35 จุด หรือ +0.02%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 19,144.85 จุด ลดลง 80.85 จุด หรือ -0.42% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,232.24 จุด เพิ่มขึ้น 32.33 จุด หรือ +1.01%
RBA มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 2.35% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองเงินตราต่างประเทศลงสู่ระดับ 6% จากระดับ 8% เพื่อเพิ่มความสามารถของสถาบันการเงินในการใช้เงินตราต่างประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.นี้เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจีนก็ได้ส่งสัญญาณว่าจะยกระดับการส่งเสริมเศรษฐกิจ โดยระบุว่าไตรมาส 3/2565 นี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการดำเนินนโยบาย เนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจสูญเสียแรงผลักดันเพิ่มมากขึ้น
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ บริเวณ 140 เยน เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนเพราะรอดูข้อมูลดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ซึ่งจะมีการเปิดเผยวันนี้เวลา 21:00 น. ตามเวลาไทย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ณ เที่ยงวันนี้ตามเวลาโตเกียว ดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ 140.47-140.50 เยน เทียบกับ 140.50-140.60 เยนที่ตลาดลอนดอน และ 140.57-140.58 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อเวลา 17:00 น.ของเมื่อวานนี้ โดยตลาดเงินสหรัฐปิดทำการเมื่อวานนี้เนื่องในวันหยุด
ยูโรเคลื่อนไหวที่ 0.9957-0.9961 ดอลลาร์และ 139.87-139.93 เยน เทียบกับ 0.9915-0.9925 ดอลลาร์และ 139.40-139.45 เยนที่ตลาดลอนดอน และ 0.9910-0.9912 ดอลลาร์และ 139.31-139.35 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้
ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดค่อนข้างทรงตัวในวันนี้ โดยดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย หลังหุ้นยุโรปร่วงอย่างหนักเมื่อวานนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันจันทร์ (5 ก.ย.) หลังจากรัสเซียยุติการส่งก๊าซผ่านท่อนอร์ด สตรีม 1 ไปยังยุโรป ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับราคาพลังงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลอดจนกระตุ้นให้รัฐบาลต่าง ๆ ประกาศมาตรการฉุกเฉิน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 413.39 จุด ลดลง 2.58 จุด หรือ -0.62%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,093.22 จุด ลดลง 74.29 จุด หรือ -1.20%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,760.78 จุด ลดลง 289.49 จุด หรือ -2.22% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,287.43 จุด เพิ่มขึ้น 6.24 จุด หรือ +0.09%
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคของเยอรมนี อาทิ ยูนิเปอร์ และอาร์ดับบลิวอี ร่วงลง 3.5-11%
บริษัทก๊าซพรอมของรัสเซียประกาศเมื่อวันศุกร์ว่า ท่อส่งก๊าซหลักไปยังเยอรมนีจะยังคงปิดทำการอย่างไม่มีกำหนด จากเดิมที่คาดว่าจะเปิดทำการในวันเสาร์หลังการซ่อมบำรุง 3 วัน
รัสเซียกล่าวโทษบรรดานักการเมืองยุโรปเมื่อวันอาทิตย์ที่ทำให้ต้องปิดท่อส่งก๊าซ โดยระบุว่าการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจขัดขวางการซ่อมบำรุงท่อส่งก๊าซ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐมนตรีของประเทศในสหภาพยุโรป (EU) จะหารือถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่จะควบคุมราคาพลังงาน รวมถึงจำกัดราคาก๊าซ และจัดหาสินเชื่อฉุกเฉินให้กับฝ่ายต่าง ๆ ในตลาดพลังงาน โดยรมว. EU จะประชุมกันในวันที่ 9 ก.ย.
นักลงทุนจะรอการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 1% สวนทางตลาด โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น
ดัชนี STOXX 600 เปิดตลาดที่ระดับ 413.24 จุด ลดลง 0.15 จุด หรือ -0.04%
ส่วนดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเปิดที่ระดับ 12,807.27 จุด เพิ่มขึ้น 46.49 จุด หรือ +0.36 และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีเปิดที่ระดับ 6,083.02 จุด ลดลง 10.2 จุด หรือ -0.17%
ขณะนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย.นี้ โดยคาดการณ์ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งใหญ่รอบสอง เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่แตะเลขสองหลักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สภาพเศรษฐกิจจะทรุดตัวลงไปมากกว่านี้
ขณะที่ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ที่ 0.50% สู่ระดับ 2.35% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 5 ในปีนี้
ด้านสำนักงานสถิติเยอรมนีเปิดเผยว่า ยอดคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ของเยอรมนีปรับตัวลดลง 1.1% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งลดลงมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้และปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีกำลังชะลอตัว
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดบวกเพียงเล็กน้อยในวันนี้ โดยหุ้นกลุ่มส่งออกได้แรงซื้อจากการอ่อนค่าของสกุลเงินเยนเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 24 ปี อย่างไรก็ดี ปริมาณการซื้อขายในวันนี้เบาบาง เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการในวันจันทร์ที่ 5 ก.ย. เนื่องในวันแรงงาน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ 27,626.51 จุด เพิ่มขึ้น 6.90 จุด หรือ +0.02%
หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในวันนี้นำโดยกลุ่มเครื่องมือชั่งตวงวัด, กลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดจนกลุ่มเหล็กและเหล็กกล้า ขณะที่หุ้นลบนำตลาดได้แก่ กลุ่มขนส่งทางทะเล, กลุ่มบริการ รวมถึงกลุ่มขนส่งทางอากาศ
สกุลเงินเยนอ่อนค่าลงสู่กรอบ 141 เยนเทียบดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 24 ปีในช่วงบ่ายวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น โดยนักลงทุนเข้าซื้อเงินดอลลาร์เนื่องจากคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดลบในวันนี้ หลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้
ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดที่ 6,826.50 จุด ลดลง 25.70 จุด หรือ -0.38% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,055.90 จุด ลดลง 18.60 จุด หรือ -0.26%
ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50% สู่ระดับ 2.35% ในการประชุมวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดเงินเฟ้อซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันนี้คาดว่าจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ของออสเตรเลียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้ประชาชนต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายเดือนเพื่อการซื้อบ้านเพิ่มขึ้นราว 200 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับวงเงินกู้ 700,000 ดอลลาร์
นายฟิลลิป โลว์ส ผู้ว่าการ RBA ส่งสัญญาณว่า RBA จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่เงินเฟ้อของออสเตรเลียยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2-3% ของ RBA
"การที่ RBA ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในวันนี้ จะช่วยฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมาย และจะสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่ยั่งยืนมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจของออสเตรเลีย"
"คณะกรรมการ RBA คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า แต่เราจะไม่มีการกำหนดแนวทางไว้ล่วงหน้า โดยขนาดและช่วงเวลาของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตนั้น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า และขึ้นอยู่กับการประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและตลาดแรงงานของคณะกรรมการ RBA" นายโลว์กล่าว
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดพุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันนี้ หลังจากรัฐบาลจีนส่งสัญญาณว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,243.45 จุด เพิ่มขึ้น 43.53 จุด หรือ +1.36%
เมื่อวันจันทร์ (5 ก.ย.) ทางการจีนส่งสัญญาณว่า ขณะนี้จีนเล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และยังระบุว่า ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรจะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลง
หุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้น 1.7% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานใหม่ทะยานขึ้น 2.1% และหุ้นกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวพุ่งขึ้น 2.8%
ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดบวกในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อหลังจากตลาดปิดร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้ อันเป็นผลมาจากกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและจะส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย ขณะที่สกุลเงินวอนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) ปิดวันนี้ที่ 2,410.02 จุด เพิ่มขึ้น 6.34 จุด หรือ +0.26%
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลดลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการที่จีนล็อกดาวน์เมืองต่าง ๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่นักลงทุนจับตาวิกฤตพลังงานในยุโรปอย่างใกล้ชิด หลังจากบริษัทก๊าซพรอมของรัสเซียยังคงปิดท่อส่งก๊าซให้กับเยอรมนี
ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดที่ระดับ 19,202.73 จุด ลดลง 22.97 จุด หรือ -0.12%
เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยีของจีนประกาศว่าจะเริ่มใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แบบเป็นขั้นเป็นตอนในเมื่อวานนี้ ในขณะที่เมืองเฉิงตู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ประกาศขยายเวลาใช้มาตรการล็อกดาวน์ ในขณะที่จีนกำลังเผชิญกับการระบาดครั้งใหม่
เมืองเซินเจิ้นซึ่งประกาศล็อกดาวน์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ประกาศการตรวจเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ พร้อมให้คำมั่นว่าจะจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมด ระดมกำลังทั้งหมด และใช้มาตรการทั้งหมดที่เป็นไปได้ เพื่อขจัดการแพร่ระบาดให้หมดไป
ส่วนที่เมืองเฉิงตูซึ่งมีประชาชน 21 ล้านคนอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.ย.นั้น ได้ประกาศขยายเวลาล็อกดาวน์ในพื้นที่เกือบทั้งหมดของเมือง และจะเริ่มปูพรมตรวจเชื้อตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธนี้ (5 ก.ย.-7 ก.ย.)
ทั้งนี้ จีนยังคงปฏิบัติตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero COVID) อย่างเคร่งครัด แม้ว่าประเทศอื่น ๆ จะเริ่มคลายมาตรการคุ้มเข้มลงและเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับร่วมกับโรคโควิด-19 แล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้ การระบาดครั้งใหม่จึงกลายเป็นความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
ข้อมูลจากไฉซิน ซึ่งเป็นนิตยสารการเงินของจีนระบุว่า ปัจจุบัน 33 เมืองของจีนได้ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 65 ล้านคน
เมืองกุ้ยหยาง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลกุ้ยโจว ประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ส่วนใหญ่เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ เทศบาลเมืองกุ้ยหยางสั่งล็อกดาวน์ชุมชนใน 6 เขตจากทั้งหมด 10 เขตเป็นเวลา 4 วันจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย. โดยประชาชนใน 6 เขตที่ถูกล็อกดาวน์นั้นจะได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านก็ต่อเมื่อไปรับการตรวจเชื้อโควิด-19 เท่านั้น และการบริการรถแท็กซี่ทั้งหมดจะหยุดให้บริการ
เมืองกุ้ยหยางรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จำนวน 132 รายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 ก.ย.) ซึ่งเพิ่มขึ้น 28 รายจากวันอาทิตย์ โดยกุ้ยหยางมีประชาชนอาศัยอยู่ประมาณ 6.1 ล้านคน และเป็นที่ตั้งของบริษัทผลิตรถยนต์หลายแห่งซึ่งรวมถึงบริษัทจีลี ออโตโมบิล โฮลดิ้งส์
การล็อกดาวน์เมืองกุ้ยหยางมีขึ้นในขณะที่เมืองเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน ประกาศขยายเวลาการล็อกดาวน์ออกไปจนถึงวันพุธที่ 7 ก.ย. เพื่อดำเนินการตรวจเชื้อโควิด-19 ครั้งใหญ่ให้กับประชาชน
ทั้งนี้ จีนยังคงยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์ตามแนวทางของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แม้ว่าการใช้มาตรการล็อกดาวน์จะส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจของจีนก็ตาม โดยล่าสุดผลสำรวจของไฉซินระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนส.ค.ของจีนปรับตัวลงสู่ระดับ 49.5 จากระดับ 50.4 ในเดือนก.ค. โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์
ในขณะที่ราคาทองคำนั้นได้มีการร่วงลงกลับมาที่เดิมเช่นกัน จากการอ่อนค่าลงของสกุลเงินหยวน CNY และจากการอ่อนค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย AUD ซึ่งได้ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY นั้นมีการฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง โดยได้มีการฟื้นตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับ 110 จุดอีกครั้ง กดดันราคาทองคำให้ร่วงลงมาถึงระดับ 1,705$ เลยทีเดียว
ในขณะที่การอ่อนค่าลงอย่างมากของสกุลเงินเยน JPY ในวันนี้ ได้หนุนให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ DXY มีการฟื้นตัวขึ้นอีกรอบเช่นกัน!!!