สัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐฯ และ ตามมาด้วยยุโรป เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อน Fund Flow ให้ไหลเข้ามา ในตลาดหุ้นเอเซีย ซึ่งเศรษฐกิจหลายประเทศส่วนใหญ่อยู่ในช่วงฟื้นตัว เฉพาะ อย่างยิ่งในตลาดหุ้นไทย โดยที่มีผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่สร้าง New High และ Market Earning Yield Gap ที่กว้างเป็นแรงหนุน เชื่อว่า SET Index ยังอยู่ในทิศทางขึ้น เพียงแต่ในระยะสั้นเป็นการสร้างฐานหลังปรับตัวขึ้นแรง สำหรับ Theme การลงทุนวันนี้ ฝ่ายวิจัย ศึกษา Performance ของหุ้นในช่วงที่ มีการลงทะเบียน โครงการคนละครึ่ง โดยศึกษาย้อนหลังไปใน 4 เฟสที่ผ่านมา จับ กรอบเวลา 30 วัน หลังการเปิดลงทะเบียนวันแรก พบว่า หุ้นที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย เป็นบวกได้แก่กลุ่มเครื่องดื่มเช่น CBG, OSP และ SAPPE
SET Index น่าจะพักสร้างฐานเตรียมปรับขึ้น กรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ 1625 – 1645 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ไม่มีการปรับเปลี่ยน แต่จะมีการปรับจุด Stop profit หุ้นบางตัวสูงขึ้น หุ้น Top Pick เลือก BEM, SAPPE และ TIDLOR
FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นเอเชียมากขึ้น จากเศรษฐกิจฝั่งประเทศพัฒนา แล้วชะลอลง
หลังจากที่สหรัฐฯประกาศ GDP งวด 1Q65 และ 2Q65 หด 1.6% และ 0.9% ตามลำดับ (เข้าเกณฑ์ตามนิยามของ Recession) ล่าสุดยอดขายบ้านในสหรัฐฯ ลดลงสู่ระดับต่ำสุดใน รอบ 2 ปีในเดือน ก.ค.65 สะท้อนภาพกำลังซื้อที่ลดลงภายใต้ระดับราคาบ้านที่ยังคงสูงอยู่ โดยยอดขายบ้านลดลง 5.9%MoM ลดลงมากกว่าเดือนก่อนหน้าที่ -5.5%MoM และ ยอดขายบ้านอยู่ที่ 4.81 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 และยังเป็นระดับ ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2020 ในช่วงล็อกดาวน์จากโควิด-19
ขณะที่โซนยุโรป ก็มีความเสี่ยงต่อการที่จะเข้าสู่ภาวะหดตัวในอนาคตเช่นกัน โดยอัตราเงิน เฟ้ออังกฤษ +10%YoY ในเดือน ก.ค.65 (สูงสุด ในรอบ 40 ปี) และมี GDP 2Q65 - 0.1%QoQ ขณะที่ GDP ยุโรป 2Q65 +0.6%QoQ ซึ่งยังมีความสุ่มเสี่ยงที่ GDP 3Q65 จะ ติดลบ จากความเสี่ยงของการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งล่าสุดความเสี่ยงการขาดแคลนก๊าซ กลับมาอีกครั้ง หลังก๊าซธรรมชาติของเยอรมนี จะหมดไปภายใน 2 เดือนครึ่ง หากว่ารัสเซีย ยุติการส่งก๊าซทั้งหมด โดยปัจจุบัน ท่อส่งก๊าซ ‘นอร์ด สตรีม 1’ มีปริมาณก๊าซที่ส่งมาสู่ เยอรมนีคิดเป็นเพียง 20% ของความจุเท่านั้น บวกกับสถานการณ์ภัยแล้งในยุโรปที่ ผู้เชี่ยวชาญชี้หนักหนาสาหัสที่สุดในรอบกว่า 500 ปีโดยปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา มีโอกาส ทำให้ GDP โซนยุโรป ติดลบ QoQ และเกิด Recession ในอนาคต
ขณะที่โซนเอเชีย เศรษฐกิจคาดหวังการฟื้นตัวกลับในช่วง 2H65 ทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ที่ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวเด่น จากการกลับมาเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟสที่ 5 ซึ่งหากพิจารณาจากสำนักเศรษฐกิจหลายสำนักให้ GDP Growth ปลายปีนี้อยู่ที่ 3% ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง GDP ไตรมาส 3 และ 4 จะต้องสูงมากกว่า 3%YoY เนื่องจาก 2 ไตรมาสแรกของปีอยู่ต่ำกว่า 3%
สรุป เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว สวนทางเศรษฐกิจฝั่งเอเชียที่ กำลังจะฟื้นตัวขึ้นใน 2H65 ถือเป็นแรงหนุนให้ Flow ต่างชาติไหลกลับฝั่งเอเชีย รวมถึง ไทย โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหว SET Index ที่ระดับ 1625 -1645 จุด
หุ้นค้าปลีกเริ่มดูดี หาหุ้นเด่นรับธีมคนละครึ่งเฟส 5
ภาพเศรษฐกิจเริ่มในประเทศไทยยังเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นตามลำดับต่างกับประเทศพัฒนา แล้วหลายๆ แห่งเริ่มชะลอ รวมถึงหุ้นค้าปลีกต่างเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น ด้วยปัจจัย สนับสนุนต่างๆ ดังนี้
1. เริ่มเห็นตัวเลขเศรษฐกิจในภาคการบริโภคดีขึ้น สะท้อนจาก GDP 2Q65 เติบโต 2.5%yoy และส่วนใหญ่เป็นการเติบโตในภาคการบริโภคมากสุดกว่า 6.5% (มูลค่ามีสัดส่วนราว 56% ของ GDP)
2. ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 อยู่ที่ 45.5 จุด ถือเป็น Leading Indicator ว่าการบริโภคจะค่อยๆ ดีขึ้นในระยะถัดไป 3 – 6 เดือน
3. มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่าง “โครงการคนละครึ่งเฟส 5” เริ่ม ลงทะเบียนวันที่ 19 ส.ค. 65 เป็นวันแรก และระยะเวลาโครงการ 1 ก.ย. – 31 ธ.ค. 65 ได้สิทธิคนละ 800 บาท ใช้ได้วันหนึ่งไม่เกิน 150 บาท
ทั้ง 3 ปัจจัย คาดหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ Underperform ตลาดมานาน น่าจะฟื้นกลับ ขึ้นมาได้ดีขึ้น แนะนำ HMPRO, CPALL (BK:CPALL), MAKRO, COM7, DOHOME
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ยังทำการศึกษาในเชิงปริมาณหา “หุ้นเด่นรับธีมคนละครึ่งเฟส 5” โดยพิจารณาจากผลตอบแทนหุ้น 30 วัน หลังจากมีการลงทะเบียน ในเฟส 1 – 4 ว่ามีหุ้น อะไรที่ Outperform ตลาดจากประเด็นนี้บ้าง
จากตารางข้างต้น หุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกรอบ (ความน่าจะเป็น 100% เต็ม) คือ CBG ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.91% รองลงมาให้ผลตอบแทนบวก 3 ใน 4 รอบ (ความน่าจะ เป็น 75%) OSP และ BEC ให้ผลตอบแทน 4.65% และ 5.29% ตามลำดับ ส่วน KTC, AEONTS, SAPPE มีความน่าจะเป็นให้ผลตอบแทนเป็นบวก 50% อย่างไรก็ดีหุ้นที่กล่าวมา ทั้งหมดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยชนะตลาดทั้งสิ้น ดังนั้นหุ้นทั้ง 6 น่าจะพอเก็งกำไรรับกระแส คนละครึ่งเฟส 5 ได้
หุ้นขนาดกลาง-เล็ก เริ่ม OUTPERFORM ชอบ SAPPE เป็น TOP PICK
หลังจากที่ Flow ต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยกว่า 1158 ล้านเหรียญ (mtd) หรือ 4.1 หมื่นล้าน บาท (mtd) หนุนในปีนี้ต่างชาติซื้อหุ้นไทยไปแล้ว 1.58 แสนล้านบาท (ytd) มากสุดเป็น ประวัติการณ์ช่วยพยุงให้SET Index ปรับตัวลงเพียง 1.3%ytd ขณะที่ประเทศฝั่งพัฒนา แล้วปรับตัวลงราว 6%-13%ytd รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านเราที่ปรับตัวลงราว 4%- 12%ytd ดังรูปด้านล่าง หนุนให้มูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ที่ระดับ 7 หมื่นล้าน บาท/วัน (เดือนที่แล้วอยู่ระดับ 5 – 6 หมื่นล้านบาท)
มูลค่าซื้อขายที่เพิ่มขึ้น บวกกับดัชนีที่ขึ้นมากว่า 100 จุด ในช่วงสั้น ทำให้เห็นเม็ดเงิน บางส่วนหนุนไปเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก สะท้อนได้จากผลตอบแทนและการเคลื่อนไหวของ แต่ละดัชนีวานนี้จะเห็นได้ว่า MAI Index Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆชัดเจน เป็นที่บ่งชี้ว่า นักลงทุนเริ่มหันมาสนใจหุ้นขนาดกลาง -เล็กมากเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นขนาดเล็กพื้นฐานดี ฝ่ายวิจัยแนะนำ SAPPE, III, M
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เลือกหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่กำไรเติบโตต่อเนื่องอย่าง SAPPE และเลือก TIDLOR BEM ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช่วง 2H65 เป็น Top pick
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities