ต้องยอมรับจริงๆ ว่าครึ่งปีแรกของ 2022 ถือว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของหุ้นเทคโนโลยีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่เรียกได้ว่าร่วงลงมาอยู่ในใจกลางมรสุมทางเศรษฐกิจได้แบบพอดิบพอดี ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นแพลตฟอร์มโซเชียลชื่อดังอย่างเช่น (NASDAQ:META) ได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 50% ในขณะที่ (NYSE:SNAP) ก็ร่วงลงมาเกือบ 69% ภายในช่วงเวลาเดียวกัน แม้แต่กองทุนรวม ETF หุ้นโซเชียลมีเดียอย่าง Global X Social Media ETF (NASDAQ:SOCL) ในปีนี้ยังปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 35%
ภายใต้สภาพแวดล้อมการลงทุนที่อยู่ในช่วงเงินเฟ้อสูง จนธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อกดเงินเฟ้อให้ได้ แม้จะแลกมาด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตาม ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องเซฟตัวเองด้วยการลดงบสำหรับการโฆษณาลง หรือไม่ก็ปลดพนักงานออก อย่างไรก็ตาม ก็มีนักวิเคราะห์บางคนแย้งว่าช่วงเวลาเช่นนี้ละที่เหลือกับการซื้อและถือเอาไว้ในระยะยาว
GroupM บริษัทผู้รับซื้อโฆษณาคาดว่าอัตราการเติบโตจากการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 12% ลดลงจากตัวเลขในปี 2021 ซึ่งเคยมีตัวเลขอยู่ที่ 32%
“จากจุดต่ำสุดของวงการในปี 2020 ขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 2021 ตลาดโฆษณากำลังจะเข้าสู่ปี 2022 ซึ่งเป็นปีที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ค่าแรงที่สูงขึ้น แรงกดดันด้านกฎระเบียบที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ผู้ผลิต ผู้บริโภคและนักการตลาดต่างก็พยายามหาจุดยืนในโลกที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับ COVID-19 มากขึ้น”
“อย่างไรก็ตาม” GroupM กล่าวต่อ “นักการตลาดส่วนใหญ่ในปี 2022 ยังคงเพิ่มงบประมาณให้กับสื่อ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างปีนี้และปีที่แล้วคือ อัตราการเกิดขึ้นของการตลาดแบบเก่าๆ นั้นช้าลง ในขณะที่การตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่ขอเพียงมีโทรศัพท์มือถือกำลังเติบโตขึ้น”
ภัยคุกคามจาก TikTok
นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่พูดถึงไปแล้ว ปัจจัยกดดันบางอย่างที่บริษัทต้องเจอนั้นก็ทำให้นักลงทุนเป็นกังวล ในเดือนเมษายนบริษัทเมต้าบอกกับนักลงทุนว่าอัตราการเติบโตของเฟซบุ๊กนั้นชะลอตัวลง รายงานผลประกอบการไตรมาสที่หนึ่งของเมต้าปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นอยู่ในตัวเลขหลักเดียวซึ่งก็คือ 7%
กฎใหม่ของบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ที่ไม่อนุญาตให้แอปโซเชียลมีเดียติดตามลูกค้าสร้างผลกระทบต่อกำไรของเฟสบุ๊กเป็นอย่างมาก นอกจากเฟซบุ๊กแล้ว แอปตัวเล็กๆ อย่างเช่น Snap ยิ่งได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถติดตามการใช้งานของลูกค้าได้อย่างหนัก ยิ่งไปดว่านั้น คู่แข่งคนสำคัญที่ตอนนี้เรียกได้ว่ามือถือทุกคนต้องมีอย่างติ๊กต่อก (TikTok) ที่มียอดผู้ใช้งานต่อวัน 2.91 พันล้านคนกำลังเป็นภัยคุกคามใหม่ จนถึงขนาดที่ว่าเมตาจะปรับเฟซบุ๊กให้มีลักษณะการใช้งานเหมือนติ๊กต่อกแล้ว
ตอนนี้คือสัญญาณสำหรับการเข้าซื้อแล้วหรือไม่?
สำหรับคนที่เชื่อว่าปัญหาที่บริษัทเมต้ากำลังเจอนั้นเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ตอนนี้คือโอกาสดีในการเข้าซื้อ อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ราคาซื้อขายหุ้นเมต้าตอนนี้อยู่ต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นอยู่ 12 เท่า และถ้าเทียบกับดัชนีแนสแด็ก 100 และเอสแอนด์พี 500 แล้วถือว่าอยู่ต่ำกว่ามากถึง 20 และ 16 เท่า ทำให้กลายเป็นว่าหุ้นเมต้ามีราคาในตอนนี้ถูกมาก
และเมื่อเทียบอัตราส่วนระหว่างกำไรและมาร์จิ้นกับเพื่อนๆ ที่เป็นบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ด้วยกันแล้ว จะพบว่าเมต้าอยู่ในจุดที่ดีที่สุด นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ของ Investing.com ถึงยังยกให้หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นน่าซื้อ และวิเคราะห์ว่ามีโอกาสจะปรับตัวขึ้นจากระดับราคาปัจจุบันภายในระยะเวลา 12 เดือนอีก 66.4% วัดจากจุดปิดของราคาหุ้นเมื่อวันจันทร์
Source: Investing.com
นักวิเคราะห์บางคนยังมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของหุ้นกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) ที่ปีนี้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 18% และรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ได้น่าผิดหวัง Ali Mogharabi นักวิเคราะห์จาก Morningstar ให้ความเห็นว่า
“อัตราการเติบโตของกำไรจาก YouTube ลดลงจนน่าผิดหวังเล็กน้อย ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นอิทธิพลของสื่อน้องใหม่อย่างติ๊กต่อก อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของอัลฟาเบตนั้นยังมีความั่นคงอยู่มาก พวกเขาไม่ได้มี YouTube เป็นแหล่งรายได้เดียว กูเกิลยังมีปัญญาประดิษฐ์ (AI)/ แมชชีนเลิร์นนิง (ML) มีความยืดหยุ่นด้านค่าใช้จ่าย ที่สำคัญ ทีมมี [การจัดการ] ทำอะไรได้มากกว่าเพื่อผู้ถือหุ้นภายใต้ CEO คนใหม่ (เช่น การซื้อหุ้นคืน) และการสนับสนุนการทำให้มูลค่าหุ้นสูงขึ้น”
โดยสรุปแล้ว
สำหรับนักลงทุนรายย่อย ถ้าคิดจะสวนเทรนด์ด้วยการเข้าซื้อในตอนนี้ให้เลือกซื้อหุ้นเฉพาะบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่เช่นเฟซบุ๊ก กูเกิล แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว ควรจับตาดูสถานการณ์ของหุ้นเทคฯ ไปก่อน อย่าพึ่งรีบตัดสินใจลงทุน