การขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากที่สุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 1994 เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อนั้นได้ส่งให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงและถูกตราหน้าว่าเป็นตลาดขาลงอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางช่วงเวลาที่หันไปทางไหนก็มีแต่ขาลงเช่นนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักเห็นตรงกันว่าวิธีที่ดีที่สุดในช่วงเวลาเช่นนี้คือการ “กอดเงินสดเอาไว้ให้มั่น”
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ไม่เชื่อว่าการเอาเงินไปฝากไว้กับธนาคารเฉยๆ นั้นไม่ใช่ทางออก พวกเขายังคงมองหาตัวเลือกอื่นที่สามารถสร้างเงินปันผลกลับคืนได้อย่างมั่นคง ในสถานการณ์เช่นนี้ คงไม่มีหุ้นตัวไหนดีไปมากกว่าหุ้นสายป้องกันเช่นกลุ่มค้าปลีก ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภค และเฮลท์แคร์
อีกหนึ่งที่ที่นักลงทุนอาจมองข้ามไปคือกลุ่มหุ้นที่ให้ปันผลสูง กลุ่มนี้เป็นหุ้นบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่มีการเพิ่มเงินปันผลได้อย่างน้อย 25 ปีติดต่อกัน ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความผันผวนเช่นนี้ หุ้นเหล่านี้อาจะเป็นตัวเลือกที่พึ่งพาได้ และในบทความนี้ เราจะมาแนะนำหุ้นปันผลดีสามตัว ที่อาจจะเข้าตานักลงทุน และใช้เป็นที่พักเงินที่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการฝากเอาไว้ในธนาคารเฉยๆ
1. Target
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย ผู้คนก็ยังคงต้องบริโภคและใช้ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นต่อไป นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นตัวแรกที่เราจะแนะนำในบทความนี้จึงเป็นหุ้นของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกานามทาร์เก็ต (NYSE:TGT) ที่มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวานนี้อยู่ที่ $144.70
ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา บริษัททาร์เก็ตได้มีการปรับเงินปันผลขึ้นในทุกๆ ปี ครั้งสุดท้ายที่บริษัทจ่ายเงินปันผลคือในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ และยังเพิ่มอัตราการปันผลรายไตรมาสขึ้นอีก 20% หรือคิดเป็น $1.08 ต่อหุ้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการล็อกระดับการปันผลเอาไว้ที่มากกว่า 3% จุดเข้าของราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าเหมาะสมแล้ว เงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนผู้บริโภคสูงขึ้น ส่งให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากกว่าสามเท่าของมูลค่าที่เคยมีในปีที่แล้ว
สิ่งที่ทำให้เราเชื่อว่าการชะลอตัวของหุ้นทาร์เก็ตจะคงอยู่ไม่นานเป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้วทาร์เก็ตมีบาลานซ์ชีทที่ดี มีกระแสเงินสดอยู่ในมือสูง และก็สามารถจัดการแบ่งเงินปันผลมาได้ดีตลอด 50 ปีทั้งๆ ที่โลกก็ผ่านวิกฤตมามากมาย ที่สำคัญ ตอนนี้ช่วงฤดูร้อนของโลกตะวันตกกำลังจะมา การจับจ่ายใช้สอยจะมีมากขึ้นอย่างหลีกดลี่ยงไม่ได้ และจังหวะนั้นเองที่บริษัทจะได้ลดสินค้าคงคลังลง
2. Abbott Laboratories
หุ้นกลุ่มดูแลสุขภาพสามารถสร้างกระแสรายได้อย่างสม่ำเสมอแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี นั่นเป็นเพราะบริการด้านสุขภาพยังคงมีความสำคัญต่อสังคม แม้จะมีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจจะไม่เป็นใจ นอกจากนี้ ความผันผวนทางเศรษฐกิจก็ไม่สามารถจำกัดการวางจำหน่ายยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ใหม่ๆ ได้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงอยากแนะนำบริษัทผู้ผลิตยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องมือทางการแพทย์ระดับโลกอย่าง แอ็บบอท (NYSE:ABT) หุ้นของบริษัทนี้ปันผลต่อเนื่องกันมาแล้วเดือบครึ่งศตวรรษ มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันอังคารอยู่ที่ $104.41
ในช่วงที่โควิดกำลังระบาด บริษัทแอ็บบอทสามารถทำกำไรได้มากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐ จากการขายชุดตรวจโควิดที่มีชื่อว่า “BinaxNOW” แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะหมดยุคโควิดไปแล้ว แต่อนาคตของบริษัทก็ยังคงสดใส เพราะมีการกระจายพอร์ตการลงทุน สร้างกระแสเงินสดอิสรถจากการขายเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลไปจนถึงเครื่องมือผ่าตัด ก่อให้เกิดรายได้ และมีเงินปันผลสำหรับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม หุ้นของแอ็บบอทในปีนี้ได้ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้น ตอนนี้หุ้น ABT ได้ปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 25% แต่ก็ยังสามารถรักษาการมอบผลตอบแทนเอาไว้ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาได้ ปัจจุบันแอ็บบอทมีการปันผลต่อหุ้นรายไตรมาสอยู่ที่ $0.47 และมีอัตราการปันผลรายปีอยู่ที่ 1.83% มีอัตราการปันผลเติบโตในช่วงห้าปีล่าสุดอยู่ที่ 11%
3. Visa
บริษัทสุดท้ายที่เราจะแนะนำในบทความนี้คือยักษ์ใหญ่ด้านตัวกลางการชำระเงิน “วีซ่า” (NYSE:V) ที่ยังคงสามารถเพิ่มเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่องเพราะมีฐานธุรกิจที่มั่งคง และมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ ล่าสุดหุ้นวีซ่ามีราคาปิดเมื่อวานนี้อยู่ที่ $194.39 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ 
Visa มีอัตราการจ่ายเงินปันผล 22% ซึ่งมีความยั่งยืนสูง และทำให้บริษัทมีพื้นที่มากขึ้นในการเพิ่มวงเงินการจ่ายเงินปันผลในอนาคต ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เงินปันผลของบริษัทเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 20% ในแต่ละปี นั่นทำให้วีซ่ากลายเป็นหุ้นที่ยอดเยี่ยมในการซื้อและถือไว้ในพอร์ตลงทุนระยะยาว
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กของ CFO บริษัท วีซ่าเชื่อว่าพวกเขาจะได้กำไรเพิ่มจากความต้องการเดินทาง และการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวหลังจากภัยโรคระบาดได้ผ่านไปแล้ว
“เราเห็นผู้บริโภคกลับมาใช้จ่ายในด้านการเดินทางและร้านอาหารและความบันเทิง ผู้บริโภคที่ร่ำรวยได้ลดต้นทนการจับจ่ายใช้สอยลงเล็กน้อยในช่วงการระบาดใหญ่ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถจ่ายได้ แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ เมื่อโรคระบาดจากไปแล้ว ผมจึงมั่นใจว่าผู้บริโภคในกลุ่มนี้จะกลับมาแน่นอน”