รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

2 ETF เน้นลงทุนในหุ้นมูลค่าสร้างผลตอบแทนระยะยาวท่ามกลางตลาดขาลง

เผยแพร่ 10/05/2565 17:17
อัพเดท 02/09/2563 13:05

ทุกๆ ครั้งที่ตลาดหุ้นต้องเผชิญกับสภาวะตลาดหมี ในความเลวร้ายนั้นมักจะเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับคนที่มองเห็น หากนับตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก 100 ได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว 14.5% และ 23.4% ตามลำดับ ในช่วงเวลาแบบนี้ การค้นหาหุ้นที่มีคุณภาพ ที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงสามารถกลายเป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่สำคัญ และทำกำไรได้สำหรับผู้ที่ช่ำชอง นักลงทุนในตำนานอย่างวอร์เรน ชัฟเฟตต์ เคยกล่าวถึงการเลือกหุ้นเอาไว้ว่า

“หุ้นที่มีคุณภาพต้องมีความน่าดึงดูดตามตรรกะ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ทั้งในแง่ของราคาและการลงทุนในภาคธุรกิจ”

สำหรับมาตรวัดว่าหุ้นตัวไหนมีคุณภาพหรือไม่ เชื่อว่านักลงทุนในหุ้นคงรู้จักตัวย่อเหล่านี้ดี ยกตัวอย่างเช่นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อัตราส่วนราคาเปรียบเทียบรายได้ของบริษัท (P/S) อัตราส่วนราคาเปรียบเทียบการเติบโตของรายได้ (PEG) มูลค่าหุ้นเทียบกับสัดส่วนหนี้ (D/E) และสภาพคล่อง (FCF) 

นักลงทุนที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก เรามี InvestingPro เว็บไซต์ที่ช่วยจัดอันดับหุ้นตามมาตรวัดที่เราได้ยกตัวอย่างไป ยกตัวอย่างเช่นหุ้นสายเทคฯ ที่ดี ควรมีค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 20x ในบทความนี้ เราจะพาไปดูกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นสายเน้นมูลค่า ที่เมื่อวัดตามเกณฑ์ของ InvestingPro แล้วถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

1. Vanguard S&P Mid-Cap 400 Value Index Fund ETF Shares

- ระดับราคาปัจจุบัน: $152.32
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $151.77 - $176.31
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.94%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.15% ต่อปี

กองทุนตัวแรกที่เราจะนำเสนอในบทความนี้มีชื่อว่า Vanguard S&P Mid-Cap 400 Value Index Fund ETF Shares (NYSE:IVOV) เป็นกองทุนที่เน้นหุ้นมูลค่าของบริษัทสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ในระดับกลาง อ้างอิงราคามาจากดัชนี S&P Midcap 400 Index IVOV จะอ้างอิงราคาหุ้นตามค่า P/E P/S และ P/B IVOV Weekly Chart

กองทุนนี้เริ่มเปิดให้ลงทุนครั้งแรกในเดือนกันยายนปี 2010 ปัจจุบันถือครองหุ้นของบริษัทอยู่ทั้งหมด 295 แห่ง หากพิจารณาแยกเป็นส่วนๆ จะพบว่า IVOV ถือครองหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมมากที่สุด 19.40% ตามมาด้วยกลุ่มการเงิน 17% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 12.70% อสังหาริมทรัพย์ 11.30% และเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร 10.40% 

หุ้น 10 อันดับแรกของบริษัทคิดเป็น 9% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด $943 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Medical Properties (NYSE:MPW) First Horizon National (NYSE:FHN) Alleghany (NYSE:Y) Reliance Steel & Aluminum Co. (NYSE:RS) และ Aecom Technology (NYSE:ACM)

กราฟราคากองทุน IVOV ปรับตัวลดลงมาโดยตลอดนับตั้งแต่ขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด IVOV ปรับตัวลดลงมาแล้ว 9.7% แต่หากนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2022 เป็นต้นมา ถือว่าปรับตัวลดลงมาแล้ว 9.6% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 14.0x และ 1.9x ตามลำดับ

แม้ว่าตอนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากขาลง แต่ที่ผ่านมา หุ้นมูลค่าของบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก มักจะได้รับประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ย และสภาวะเงินเฟ้อสูง ดังนั้นนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนเป็นเวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปีข้างหน้าสามารถพิจารณาลงทุนใน IVOV ได้

2. JPMorgan U.S. Value Factor ETF

- ระดับราคาปัจจุบัน: $34.44
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $34.41 - $39.27
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 2.31%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.12% ต่อปี

กองทุนตัวต่อมามีชื่อว่า JPMorgan U.S. Value Factor ETF (NYSE:JVAL) เป็นกองทุนที่เน้นกระจายการลงทุนไปยังบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่บนดัชนี Russell 2000 Index ปัจจุบันกองทุนนี้ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 340 แห่ง อ้างอิงการเลือกหุ้นจาก P/B P/E FCF และอัตราผลตอบแทนJVAL Weekly

JVAL เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2017 หากพิจารณาแยกเป็นส่วนๆ จะพบว่า JVAL ถือครองหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากที่สุด 27.3% ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 14.8% กลุ่มดูแลสุขภาพ 13.5% อุตสาหกรรม 12.6% และการเงิน 10.6% 

หุ้น 10 อันดับแรกของบริษัทคิดเป็น 17% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมด $524.92 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ UnitedHealth Group (NYSE:UNH); Apple (NASDAQ:AAPL); Exxon Mobil (NYSE:XOM); Microsoft (NASDAQ:MSFT) และ Johnson & Johnson (NYSE:JNJ)

ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน JVAL ปรับตัวลดลงมาแล้วทั้งหมด 10.3% พึ่งสร้างจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์เมื่อวานนี้ มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 13.10x และ 2.35x ตามลำดับ สำหรับนักลงทุนสายเน้นหุ้นมูลค่า นี่คือตัวเลือกที่พลาดไม่ได้

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย