หากไม่นับหุ้นบริษัทเน็ตฟลิกซ์ที่รายงานผลกำไรได้น่าผิดหวัง รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งจนถึงตอนนี้ถือว่าทำผลงานได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง นักลงทุนเป็นกังวลว่าท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีความแข็งกร้าวมากที่สุดนับตั้วแต่ปี 2006 และราคาสินค้าที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันความกล้าที่จะลงทุนในตลาดหุ้น
ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งความหวังกับรายงานผลประกอบการและรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้เป็นอย่างมาก ว่ารายงานผลประกอบการที่นำทัพโดยบริษัทหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ชื่อดังไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟต์ อัลฟาเบต แอปเปิล ฯลฯ จะสามารถช่วยฟื้นตลาดหุ้นให้กลับขึ้นมาได้
ขาลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500ได้ชื่อว่าปรับตัวลดลงเป็นวันที่สามติดต่อกัน คิดเป็นขาลง 4.25% ตลอดทั้งสัปดาห์ และยังเป็นสถิติขาลงสามสัปดาห์ติดต่อกันอีกด้วย ช่วงเวลาสามสัปดาห์ที่มูลค่าตลาดหายไปรวมแล้วเป็น 6% นั้นถือเป็นช่วงเวลาขาลงติดต่อกันที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2020
นอกจากเอสแอนด์พี 500 แล้วดัชนีหลักอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกา ก็ปิดติดลบไม่ต่างกัน ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 3.8% ภายในช่วงสองวันสุดท้ายของสัปดาห์ หลังจากที่สี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ได้ลงมาแล้วทั้งหมด 3.1% ขาลงของดาวโจนส์ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นดัชนีที่ร่วงลงหลายสัปดาห์ติดต่อกันมากที่สุดเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ อีกสามตัว ในขณะเดียวกัน ดัชนีแนสแด็ก 100 ก็ได้ปรับตัวลดลง 6% ในช่วงสามสัปดาห์ล่าสุด หลุดแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ย 100 สัปดาห์ลงไปเรียบร้อย แม้แต่ดัชนีรัสเซล 2000 ก็ไม่รอด มีขาลง 4.8% จากการเทขายภายในสองวัน คิดเป็น 3.4% ตลอดทั้งสัปดาห์
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ลักษณะขาลงของดัชนีรัสเซล 2000 ดูแล้วน่ากลัวที่สุด
จากรูปจะเห็นว่าจุดปิดของแท่งเทียนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ลงมาปิดต่ำกว่ากรอบราคาขาขึ้นแล้ว ส่งสัญญาณว่ารัสเซล 2000 พร้อมที่จะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาลงตามเทรนด์เดิม ยิ่งเป็นขาลงที่ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 100 สัปดาห์ลงมาได้ ยิ่งเป็นการบอกว่ามีโอกาสที่ขาลงครั้งนี้จะลงไปทดสอบอย่างน้อยที่สุดคือแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์
นี่คือการย่อลงมาเพื่อหาจังหวะซื้อใช่หรือไม่?
ขาลงที่ปรากฎขึ้นมาให้เห็นในตอนนี้ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มหวังว่าสัปดาห์ที่เป็นไฮไลท์สำคัญของการรายงานผลประกอบการทุกๆ ครั้ง อย่างเช่นสัปดาห์นี้จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ของตลาดหุ้นในฟื้นคืนมาได้ ถามว่าทำไมต้องเป็นสัปดาห์นี้? เพราะว่าเป็นสัปดาห์ที่จะมีแต่การรายงานผลกำไรของบริษัทเทคฯ ชื่อดังที่เราทุกคนต่างก็รู้จักกันดีไม่ว่าจะเป็นไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) และกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) ที่จะรายงานผลประกอบการในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ตามเวลาประเทศไทย ตามมาด้วยเมต้าแพลตฟอร์ม (NASDAQ:FB) ในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดี แอปเปิล (NASDAQ:AAPL) และแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) จะรายงานในช่วงเช้าของวันศุกร์ นักลงทุนหวังว่ารายงานผกำไรของบริษัทเหล่านี้จะสร้างขาขึ้นให้กับตลาดหุ้นได้
นอกจากรายงานผลประกอบการของบริษัทชื่อดังแล้ว สัปดาห์นี้จะมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคลในวันศุกร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อของเฟด คำถามก็คือตัวเลขนี้จะยิ่งช่วยทำให้เฟดเข้าใจถึงความจำเป็นในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.50% มากน้อยแค่ไหน ในงานสัมมนากับ IMF เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดพึ่งแสดงเจตนารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนว่าการขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้นักลงทุนตกใจมากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้วคงจะหนีไม่พ้นรายงานผลประกอบการของบริษัทภาพยนตร์สตรีมมิ่งชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) ขาลงหลังจากทราบรายงานผลกำไรจะเรียกว่า “ร่วงอย่างรุนแรง” ก็คงจะไม่ผิดมากนัก
หุ้นของเน็ตฟลิกซ์ร่วงลงมากกว่าสามในสิบส่วนของขาขึ้นทั้งหมด คิดเป็นขาลง 35% ภายในวันพุธเพียงวันเดียว สะท้อนความผิดหวังของนักลงทุนที่มีต่อสมาชิกที่หายไป 200,000 คน ขาลงครั้งนี้สร้างจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2018 ทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50, 100 และ 200 สัปดาห์จนหมดสิ้น
อันที่จริง สถานการณ์เช่นนี้ยังไม่ควรโทษว่าเน็ตฟลิกซ์มาถึงจุดตกต่ำแล้ว เพราะเมื่อพิจารณาหุ้นบริษัทอื่นที่มีบริการภาพยนตร์สตรีมมิ่งเหมือนกันอย่างเช่นวอร์นเนอร์ บราเทอร์ (NASDAQ:WBD) พบว่าราคาหุ้นนั้นก็ปรับตัวลดลง 6% เช่นกัน ภาวะเงินเฟ้อที่กัดกินความสามารถของผู้บริโภคกำลังส่งผลกระทบต่อบริการเหล่านี้ ดังนั้นจึงต้องจับตาดูว่ารายงานผลประกอบการของบริษัทอื่นๆ ที่มีธุรกิจคล้ายกันจะมีกำไรที่หดตัวลดลงหรือไม่
นักลงทุนตั้งความหวังกับขาขึ้นที่จะมาจากรายงานผลประกอบการของบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่มาก ตั้งแต่ขาลง 19.4% จากจุดสูงสุดตลอดกาล ดัชนีแนสแด็ก 100 ก็ไม่เคยสามารถสร้างขาขึ้นสำเร็จอีกเลย พวกเขาหวังว่าสัปดาห์นี้แนสแด็ก 100 จะเจอแนวรับที่สามารถยืนได้เสียที เพื่อที่จะสร้างบริเวณไหล่ขวาของรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ได้ ซึ่งเส้น 200 DMA ทำหน้าที่เป็นเส้น neckline
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าการกลับตัวขึ้นไปครั้งนี้จะเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างช้าๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นการสร้างฐานให้กับแนวโน้มขาขึ้น เพราะรายงานผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2021 จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยพาตลาดหุ้นให้กลับตัวขึ้นไปได้ นักลงทุนไม่เคยตัดเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกจากสมการความกังวลได้เลย ถ้าหากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคส่วนบุคคลในเดือนมีนาคมปรับตัวขึ้นไม่เกิน 5.4% ซึ่งเป็นของเดือนกุมภาพันธ์ ก็อาจจะช่วยให้ขาขึ้นครั้งนี้มีความหวังขึ้นมาได้บ้าง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปียังคงปรับตัวขึ้นหกจากเจ็ดสัปดาห์ล่าสุด ถือเป็นความชัดเจนว่านักลงทุนเชื่อว่าอย่างไรเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยก็ต้องปรับตัวขึ้นต่อไป จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค เส้นค่าเฉลี่ย 50 สัปดาห์กำลังจะตัดเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์แล้ว แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งแนวโน้มขาขึ้นทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค
ในขณะเดียวกัน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐก็ได้ปรับตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เส้นค่าเฉลี่ย 50 สัปดาห์ ได้ตัดผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 100 สัปดาห์แล้ว และถ้าเมื่อไหร่ที่ผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ ณ จุดนั้นจะเกิดการตัดกันที่สำคัญของเส้นค่าเฉลี่ยขึ้น
ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงมาทดสอบจุดต่ำสุดของกรอบสามเหลี่ยม จากภาวะเงินเฟ้อและไฟสงคราม เราเชื่อว่าราคาทองคำจะสามารถดีดตัวกลับขึ้นไปได้ แต่จะคงอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมไปจนถึงการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์ถัดไป
หลังจากปรับตัวลดลงมาสามสัปดาห์ติดต่อกัน บิทคอยน์ดูเหมือนว่าจะเจอแนวรับที่กรอบสามเหลี่ยมขาขึ้นด้านล่าง ถึงกระนั้นเราก็ยังเชื่อว่ารูปแบบหัวไหล่ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้จะยังมีผลอยู่
สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงประมาณ 4.5%
รูปแบบการเคลื่อนไหวทางเทคนิคของ WTI กำลังทำลายฟอร์มสามเหลี่ยมไปเรื่อยๆ แต่กระนั้นราคาก็ยังพยายามยืนเหนือระดับราคา $100 ต่อบาร์เรล สำหรับทิศทางในอนาคตยังจำเป็นที่จะต้องจับตาดูกันต่อไป
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันจันทร์
04:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขวัดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ: คาดว่าจะลดลงจาก 90.8 เป็น 89.1 จุด
วันอังคาร
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -0.6% เป็น 0.6%
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจาก CB: คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 107.2 เป็น 108.0
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่: คาดว่าจะลดลงจาก 772K เป็น 772K
21:30 (ออสเตรเลีย) ดัชนีราคาผู้บริโภค: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.3% เป็น 1.7%
วันพุธ
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยที่รอการจำนอง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -4.1% เป็น -1.5%
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -8.020M เป็น 2.471M
21:30 (ออสเตรเลีย) รายงานตัวเลขยอดค้าปลีก: คาดว่าตัวเลขในเดือนมีนาคมจะลดลงจาก 1.8% เป็น 1.0%
ยังไม่ยืนยัน (ญี่ปุ่น) รายงานภาพรวมและนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น
23:00 (ญี่ปุ่น) การประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น
วันพฤหัสบดี
ยังไม่ยืนยัน (ญี่ปุ่น) ถ้อยแถลงของธนาคารกลางญี่ปุ่น
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าตัวเลข QoQ จะลดลงจาก 6.9% เป็น 1.1%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: คาดว่าจะลดลงจาก 184K เป็น 180K
21:45 (ประเทศจีน) ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากมหาลัยไซซิน:คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 48.1 เป็น 50.0
วันศุกร์
04:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าตัวเลข QoQ จะเพิ่มขึ้นจาก -0.3% เป็น 0.2%
05:00 (ยูโรโซน) ดัชนีราคาผู้บริโภค: คาดว่าตัวเลข YoY จะคงที่ 7.4%
06:30 (รัสเซีย) การประชุมอัตราดอกเบี้ย: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 17.00% เป็น 20.00%
08:30 (แคนาดา) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 0.2% เป็น 0.8% MoM
21:30 (ประเทศจีน) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 49.5 เป็น 49.9 จุด
21:45 (ประเทศจีน) ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากมหาลัยไซซิน: ตัวเลขครั้งก่อนออกมาอยู่ที่ 48.1