ในช่วงต้นเดือนมีนาคม น้ำมันเบรนท์ เกณฑ์มาตรฐานสำหรับราคาน้ำมันทั่วโลกพุ่งขึ้นเหนือ 130 ดอลลาร์ แตะจุดสูงสุดในรอบหลายปี แม้ว่าตอนนี้ราคาซื้อขายน้ำมันดิบเบรนท์จะปรับตัวลดลงมาประมาณ 13% จากจุดสูงสุดล่าสุด แต่ก็ยังสามารถยืนเหนือ 100 ดอลลาร์ และนักวิเคราะห์ยังคงกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของต้นทุนพลังงานต่อเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น และไม่รู้ว่าจะมีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด
ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ WTI ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันของสหรัฐฯ ไม่ได้แตกต่างไปจากเบรนท์มากนัก ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 37.3% ขึ้นยืนเหนือ $100 ต่อบาร์เรลได้เช่นกัน เป็นผลให้ดัชนี Dow Jones Oil & Gas index กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 53% ในปีที่ผ่านมา และตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันยังสามารถปรับตัวขึ้นได้มาแล้วทั้งหมด 27%
ความผันผวนในตลาดน้ำมันมักหมายถึงความผันผวนของหุ้น เนื่องจากมีผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก อ้างอิงข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุถึงสถานการณ์ตลาดพลังงานในปัจจุบันว่า
“ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น และการคว่ำบาตรจากนานาชาติต่อรัสเซียภายหลังการรุกรานยูเครน จะกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โอกาสที่การผลิตน้ำมันของรัสเซียจะหยุดชะงักในวงกว้าง กำลังเพิ่มความเสี่ยงให้กับระดับอุปทานน้ำมันทั่วโลก”
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธนาคารชื่อดังอย่างเจพี มอร์แกนจึงคาดว่ามีโอกาสที่จะได้เห็นราคาน้ำมันดิบโลกแตะ $185 ต่อบาร์เรลได้ หากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังไม่จบลง ภายใต้ความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้น เราจึงได้เขียนบทความแนะนำกองทุน ETF ที่เชื่อว่าจะได้ประโยชน์หากราคาน้ำมันกลับมาสร้างแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
1. iShares Global Energy ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $36.19
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $23.08 - $37.17
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 3.03%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.43% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราอยากจะแนะนำมีชื่อว่า iShares Global Energy ETF (NYSE:IXC) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติทั่วโลก มากกว่า 55% ของหุ้นบริษัทที่กองทุนนี้ถือครองล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยสหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศส บราซิล อิตาลี และอื่นๆ
IXC เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2001 ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 47 บริษัท อ้างอิงราคาตามดัชนี S&P Global 1200 Energy Sector Index เมื่อพิจารณาการถือครองหุ้นออกเป็นสัดส่วน พบว่า IXC ถือครองหุ้นของบริษัทที่ผลิตและส่งออกน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติมากที่สุดถึง 55.45% ตามมาด้วยบริษัทผู้ผลิตและสำรวจแหล่งผลิตพลังงาน 21.31% และบริษัทผู้เป็นแหล่งกักเก็บและขนส่งพลังงานอีก 10.84%
หุ้นบริษัทด้านพลังงานที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Exxon Mobil (NYSE:XOM) Chevron (NYSE:CVX) Shell (NYSE:SHEL) ConocoPhillips (NYSE:COP) และ TotalEnergies (NYSE:TTE)
กองทุน IXC ได้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดในรอบหลายปีในช่วงปลายเดือนมีนาคม ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน กองทุน IXC ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 31.5% แต่หากวัดช่วงเวลา 52 เดือนล่าสุดจะพบว่าราคาหุ้นสามารถวิ่งขึ้นมาทั้งหมดมากกว่า 43.5% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 14.45x และ 1.93x ตามลำดับ
โดยปกติแล้ว หุ้นกลุ่มนี้มักจะทำผลงานได้ดีในช่วงที่เงินเฟ้อสูง ยิ่งตอนนี้มีปัจจัยสนับสนุนอย่างความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนเข้ามา ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าแนวโน้มขาขึ้นรอบนี้จะยังอยู่ไปได้อีกนาน
2. Invesco DWA Energy Momentum ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $42.99
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $21.55 - $44.53
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.63%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.60% ต่อปี
กองทุนตัวต่อมามีชื่อว่า Invesco DWA Energy Momentum ETF (NASDAQ:PXI) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนกับหุ้นบริษัทพลังงาน ที่ทำผลงานได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีมาตรวัดมาตรฐานในอุตสาหกรรมนั้นๆ กองทุนนี้เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2006
PXI ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 46 บริษัท อ้างอิงราคาตามดัชนี Dorsey Wright Energy Technical Leaders Index PXI เป็นกองทุนที่ปรับสมดุลของพอร์ตอยู่ตลอดทุกไตรมาส หุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนนี้ถือครองคิดเป็นสัดส่วน 40% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด $247.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
หากพิจารณาแบ่งการถือครองออกเป็นสัดส่วน จะพบว่ากองทุนนี้ทุ่มถือหุ้น 88.97% ไปกับบริษัทผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ ตามมาด้วยบริษัทผู้ให้บริการและอุปกรณ์สำหรับผลิตพลังงาน 7.37% และเหมืองพลังงานและโลหะมีค่า 3.52% ซึ่งบริษัททั้งหมดนี้ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา
หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Ovintiv (NYSE:OVV), Cheniere Energy (NYSE:LNG), SM Energy (NYSE:SM), Devon Energy (NYSE:DVN) และ Targa Resources (NYSE:TRGP)
กองทุน PXI ได้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดในรอบหลายปีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน กองทุน PXI ปรับตัวขึ้นมาแล้ว40.4% แต่หากวัดช่วงเวลา 12 เดือนล่าสุดจะพบว่าราคาหุ้นสามารถวิ่งขึ้นมาทั้งหมดเกือบ 68.3% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 6.43x และ 2.14x ตามลำดับ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนกับกองทุนตัวนี้ ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมก่อน