เป็นที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าต่อจากนี้ไปนักลงทุนและตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับแรงต้านมากขึ้น ประเด็นแรกที่มีความชัดเจนคือถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะไม่ลังเลที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เลยหากจำเป็นต้องสกัดการเติบโตของเงินเฟ้อ ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ต่างก็ยังคงวิ่งอยู่เหนือ $100 ต่อบาร์เรล พร้อมจะขึ้นต่อได้ทุกเมื่อหากสถานการณ์สงครามรัสเซียยูเครนกลับมารุนแรง
สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับ “ดัชนีวัดความกลัว” หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ที่วิ่งอยู่ที่ตัวเลขประมาณ 20.80 สูงกว่าระดับในเดือนมกราคมมากกว่า 20% เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของ VUGA ไม่มีสิ่งใดที่มั่นคงถาวรไปเหมือนกับก่อนวิกฤตโควิดแล้ว ไม่ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่ความผันผวน ที่ต้องเตรียมตัวรับมืออยู่ตลอดเวลา นักลงทุนบางกลุ่มจึงพยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ด้วยการหันหน้าเข้าลงทุนกับกองทุน ETF งานวิจัยล่าสุดจาก SPGI ระบุว่า
“นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 ความผันผวนต่ำได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในช่วง 10 ปีล่าสุด... หุ้นที่มีความผันผวนต่ำ หรือที่เรียกว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าปกติ จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ”
ดังนั้นบทความนี้จึงถูกเขียนขึ้นมา เพื่อแนะนำนักลงทุนที่กำลังสนใจการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
1. Invesco S&P 500 High Dividend Low Volatility ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $47.15
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $41.50 - $47.17
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 3.30%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.30% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราอยากจะแนะนำมีชื่อว่า Invesco S&P 500® High Dividend Low Volatility ETF (NYSE:SPHD) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนกับหุ้นบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่มีความผันผวนน้อยกว่าปกติ และยังเน้นลงทุนกับหุ้นบริษัทที่มีความสามารถจ่ายเงินปันผลได้สูงอีกด้วย กองทุน SPHD เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2012 ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 52 บริษัท อ้างอิงราคาตามดัชนี S&P 500 Low Volatility High Dividend Index มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมด $3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
หากพิจารณาการถือครองหุ้นออกเป็นสัดส่วน จะพบว่า SPHD มีการถือหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค (20.82%) กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น (18.65%) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (12.16%) กลุ่มดูแลสุขภาพ (11.34%) กลุ่มพลังงาน (9.56%) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (7.73%)
เกือบหนึ่งในสี่ของหุ้นทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนหุ้น 10 อันดับแรกที่ทรงอิทธิพล หุ้นชื่อดังเหล่านั้นได้แก่ Williams Companies (NYSE:WMB) Kinder Morgan (NYSE:KMI) Altria Group (NYSE:MO) Chevron (NYSE:CVX) AT&T (NYSE:T) และ PPL Corporation (NYSE:PPL)
ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงปัจจุบัน กองทุน SPHD ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 4.1% แต่หากวัดช่วงเวลา 12 เดือนล่าสุดจะพบว่าราคาหุ้นสามารถวิ่งขึ้นมาทั้งหมดมากกว่า 9% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ 25 มีนาคม มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 13.90x และ 2.25x ตามลำดับ
เหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกกองทุนนี้เป็นเพราะรูปแบบการปันผลของกองทุน แม้ว่าตอนนี้ราคากองทุนจะยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ก็มีโอกาสที่ราคาจะย่อตัวลดลงมาที่ 46.5 หรือต่ำกว่านั้น หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นจริง ให้พิจารณาการเข้าซื้อและถือยาวเอาไว้ได้เลย
2. iShares MSCI USA Min Vol Factor ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $76.78
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $67.65 - $81.33
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.33%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.15% ต่อปี
กองทุนตัวต่อมามีชื่อว่า iShares MSCI USA Min Vol Factor ETF (NYSE:USMV) เป็นกองทุนที่เน้นหุ้นบริษัทที่มีความผันผวนต่ำ เมื่อเทียบกับค่าความผันผวนโดยเฉลี่ยของดัชนีเอสแอนด์พี 500 หรือที่ในภาษานักลงทุนก็คือ USMV เน้นลงทุนกับเบต้าของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ซึ่งมีค่าอยู่ที่ 1.0 ดังนั้นหุ้นที่อยู่ต่ำกว่าค่าเบต้านี้จะมีความผันผวนต่ำ สมมุติว่าหุ้น กขค มีค่าเบต้าอยู่ที่ 0.9% ถ้าหากดัชนีเอสแอนด์พี 500 มีความเคลื่อนไหว 1.0% หุ้น กขค จะเคลื่อนไหว 0.9%
ปัจจุบันกองทุน USMV ถือครองหุ้นอยู่ทั้งหมด 172 ตัว เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2011 มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมด $27,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หากพิจารณาแบ่งเป็นสัดส่วน จะพบว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารมีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็น 22.91% ตามมาด้วยกลุ่มดูแลสุขภาพ 18.12% กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น 11.31% กลุ่มบริการสื่อสาร 10.37% กลุ่มอุตสาหกรรม 8.75% กลุ่มสาธารณูปโภค 7.98% และกลุ่มการเงิน 7.66%
หุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนนี้ถือครองคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 16% ของพอร์ตลงทุนทั้งหมด หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Kroger (NYSE:KR) Johnson & Johnson (NYSE:JNJ) Berkshire Hathaway (NYSE:BRKb) Regeneron Pharmaceuticals (NASDAQ:REGN) และ Newmont Goldcorp (NYSE:NEM)
USMV เคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้เมื่อเดือนธันวาคมปี 2021 ตลอดระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุดให้ผลตอบแทนคืนแก่นักลงทุนมาแล้ว 10.5% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนมกราคมมาจนถึงปัจจุบัน USMV ได้ปรับตัวลดลงมาแล้วประมาณ 5% มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 23.73x และ 4.58x ตามลำดับ